“สุริยะ” สายตรงถึงพานาโซนิค ย้ำไทยยังเป็นฐานการผลิตอีก 18 โรงงาน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณี มีข่าวปรากฎในสื่อต่างๆ ว่าบริษัท พานาโซนิค ได้ย้ายฐานการผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้าไปยังประเทศเวียดนาม และจากการรายงานผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมว่า กรณีดังกล่าวเป็นการปรับแผนทางธุรกิจของพานาโซนิคที่วางไว้เดิมอยู่แล้ว เพื่อให้ขนาดการลงทุนมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น (Economy of scale)

ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาวัตถุดิบและมีต้นทุนการผลิตลดลง และการย้ายฐานนั้นเป็นการรวมสายการผลิตไว้ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันเป็นฐานการผลิตหลักของตู้เย็น และเครื่องซักผ้าของกลุ่มบริษัท พานาโซนิคในอาเซียนอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลุ่มบริษัทพานาโซนิค ยังมีโรงงานอยู่ในประเทศไทยอีก 18 โรงงาน ใช้แรงงานกว่า 10,000 คน โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ๆ เช่น เครื่องเสียง โทรทัศน์ แผ่นพิมพ์วงจรไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดยังคงเดินสายการผลิตที่ประเทศไทย

“กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประสานงาน และสอบถามข้อมูลกับ บริษัท พานาโซนิค พบว่า ทางบริษัทมีการปิดฐานการผลิตตู้เย็นและเครื่องซักผ้า เพื่อไปรวมสายการผลิตฐานหลักที่ประเทศเวียดนาม โดยมีแรงงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 800 คน ซึ่งถือว่าเป็นการย้ายฐานไปส่วนน้อยเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมาทางบริษัทได้นำเข้าชิ้นส่วนของเครื่องซักผ้าและตู้เย็นชิ้นส่วนมาจากเวียดนามเป็นหลักเพื่อนำมาประกอบในประเทศไทยอยู่แล้ว จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่บริษัทตัดสินใจย้ายสายงานดังกล่าวไปเวียดนาม”

นายสุริยะ ยังกล่าวถึง กรณีของข่าวบริษัทเครื่องปรับอากาศไดกิ้น (Daikin) ที่มีข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น โดยได้ตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่าเป็นการขยายกำลังการผลิตที่ประเทศเวียดนาม และขยายการผลิตในประเทศไทยด้วยเช่นกัน

โดย บริษัท Daikin ได้ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งการผลิตเครื่องปรับอากาศ และคอมเพรสเซอร์ โดยภาพรวมคือ โมเดลเครื่องปรับอากาศ ส่วนที่ย้ายฐานไปยังประเทศเวียดนามเป็นโมเดลทั่วๆไป ส่วนฐานการผลิตที่ประเทศไทยจะผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้เทคโนโลยีที่ขั้นสูง ซึ่งตรงกับนโยบายรัฐบาลที่เน้นส่งเสริมการลงทุนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งดำเนินโครงการพัฒนาอาชีพ ธุรกิจอิสระ ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจ้างงานลดลง ด้วยการผลักดันเศรษฐกิจชุมชน ใน 4 มิติ คือ 1.มิติผู้ประกอบการ SMEs โดยการปรับธุรกิจให้อยู่รอดในสถานการณ์โควิด-19 และเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้ความปกติวิถีใหม่ หรือนิวนอร์มอล เช่น การปรับการตลาดรูปแบบใหม่ การเพิ่มผลิตภาพ มาตรฐาน และนวัตกรรม

2.มิติชุมชนและวิสาหกิจชุมชน โดยการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนจากการบ่มเพาะนักพัฒนาชุมชน ผ่านการสร้างและยกระดับการค้า การผลิต และบริการ เพื่อให้แต่ละชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้น 3.มิติเกษตร โดยการพัฒนาจากเกษตรเป็นเกษตรอุตสาหกรรม ผ่านกลไกการสร้างนักธุรกิจเกษตร การใช้ระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลเพื่อทำเกษตรสมัยใหม่ (Farming 4.0) และสุดท้ายมิติที่

4.มิติประชาชน แรงงาน และบัณฑิตจบใหม่ โดยการสร้างอาชีพอิสระทั้งในแง่ของการสร้าง และการนำทักษะของแต่ละคนมาประกอบอาชีพอิสระ รวมถึงการเริ่มธุรกิจค้าขายและบริการตามที่ตนเองถนัด เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้

แต่ละมิติจะมีการช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพื่อให้มีเงินทุนเริ่มทำธุรกิจได้บ้าง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้เปลี่ยนงบประมาณจำนวน 35% จากงบประมาณคงเหลือของปี 2563 นำมาช่วยเหลือและฟื้นฟูใน 4 มิติข้างต้นแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจ้างงานลดลง จะถูกช่วยเหลือให้มีโอกาสสร้างงานสร้างอาชีพกว่า 6,000 คน


หลังจากนี้ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็ง และขยายผลครอบคลุมให้ทั่วประเทศ จึงได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมการฟื้นฟูทั้ง 4 มิติ ในระยะต่อไป โดยจะเสนอโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าจะสามารถช่วยประชาชนได้กว่า 1.25 ล้านคน ตามแนวทางข้างต้นนี้ต่อไป โดยใช้งบประมาณราว 10,000 ล้านบาท ภายใต้ พรก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท