หั่นจีดีพีปี’63 ติดลบ 9.4 หอการค้าห่วงตกงาน 7 ล้านคน

นายธนวรรธน์​ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ศูนย์ฯปรับประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทยโดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2563 คาดว่าจะติดลบ 9.4% จากเดิมที่คาดว่า ลบ3.4%-4.9% รวมถึงส่งออก ติดลบ10.2% ปรับลดจากเดิมติดลบ8.8% โดยเป็นการลงทุนติดลบ 8% เงินเฟ้อติดลบ 5% และจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศติดลบมากถึง 82.3% ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าเสียหายประมาณ 2 ล้านล้านบาท จากปัจจัยหลักคือการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะมาตรการล็อกดาวน์ และการเลิกจ้างงานในประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมทั้งค่าเงินผันผวน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และเศรษฐกิจโลกภาพรวมอยู่ในสภาวะซบเซา

นอกจากนี้ จีดีพีไตรมาส 2/2563 คาดว่าจะติดลบ 15% ซึ่งเป็นภาวะเสี่ยง หนักกว่าไตรมาส 2/2541 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติการณ์​ต้มยำกุ้ง ที่ติดลบอยู่ที่ 12% นับเป็นตัวเลขที่ติดลบหนักสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่จะเร่งรัดกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมโดยเฉพาะโครงการเดิมที่อยู่ คือ โครงการเงินกู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 4 แสนล้านบาท ควรให้น้ำหนักกับโครงการที่มุ่งเน้นการจ้างงาน และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (โซฟโลน) วงเงิน 5 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลต้องผ่อนคลายเงื่อนไขข้อจำกัดเพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงวงเงินสินเชื่อซอฟโลนได้มากขึ้น เพื่อประคองธุรกิจให้เกิดการจ้างงาน และขอให้รัฐบาลพักชำระหนี้6เดือนเพื่อประคองค่าครองชีพไปจนถึงต้นปีหน้าที่คาดว่าจะมีวัคซีนป้องกันการระบาดโควิด-19

นายธนวรรธน์​ กล่าวต่อว่า หากในกรณีที่ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ไม่สามารถเข้ามาบริหารงาน และกระตุ้นนโยบายโดยเร่งด่วนได้ภายในช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว และซบเซา เบื้องต้นจากจำนวนแรงงานทั้งหมด 12.1 ล้านคน ในจำนวนนี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสุ่มเสี่ยงที่จะมีการเลิกจ้าง 3.1 ล้านคน ซึ่งจากผลสำรวจผู้ประกอบการได้รับผลกระทบและมีแนวโน้มเลิกจ้างแรงงานประมาณ 1.93 ล้านคน ในกรณีเลวร้ายที่สุดอาจทำให้เกิดการเลิกจ้างถึง 7 ล้านคน

“น่าเห็นใจทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ แต่เราต้องฝากความหวัง หากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่มีการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศ และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้าถึงซอฟโลนมากขึ้น จะช่วยบรรเทาการว่างงาน จากปัจจุบันที่มีการเข้าถึงเพียง 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกว่าร้อยละ 70 คือ ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจเสริมความงาม รัฐบาลต้องเร่งอัดฉีดมาตรการเพื่อประคองธุรกิจไม่ให้ปิดกิจการไปมากกว่านี้นายธนวรรธน์​ กล่าว

ส่วนภาคการท่องเที่ยวนั้น ศูนย์ฯประเมินว่า ในปีนี้จะไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศภายใต้แนวทางทราเวลบับเบิ้ลได้ จึงคาดว่าในกรณีที่แย่ (worse case) ทั้งปีจำนวนนักท่องเที่ยวจะเหลือเพียง 6.8 ล้านคน หรือลดลงประมาณ ลบ83% นอกจากนี้ ทางศูนย์พยากรณ์ประเมินว่าในปี 2564 หากมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีโอกาสที่จีดีพีจะกลับมาเป็นบวกในช่วงไตรมาส 2/2564 และคาดว่าทั้งปีจะกลับมาเป็นบวกหรืออยู่ที่ประมาณ 4-5%