หอการค้าไทย-จีนคาดเศรษฐกิจ Q2 ชะลอตัว เงินเฟ้อทั่วโลก

“หอการค้าไทย-จีน” เปิดผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น หอการค้าไทย-จีนประเมินภาวะเงินเฟ้อ เหตุการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและบริการ ในไตรมาส 2/2565 ผู้ประกอบการเตรียมปรับราคาสินค้าและบริการ ภายใน 1-3 เดือน คาดการณ์เศรษฐกิจไทย เกิดภาวะการชะลอตัว 

วันที่ 8 มีนาคม 2565 นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สำรวจดัชนีความเชื่อมั่นจากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกใน ช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ประเด็นพิเศษ เงินเฟ้อ และโอกาสในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งได้ติดตามสถานการณ์หลังจากที่สถานการณ์รัสเซียเข้าโจมตียูเครนเป็นไปอย่างตึงเครียด

โดยพบว่า มี 2 ปัจจัยหลัก ที่สมาชิกมีความกังวล 1. จากสถานการณ์เงินเฟ้อในหลายประเทศทั่วโลก ที่มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้น รวมถึงประเทศไทย ผลสำรวจพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ ในไตรมาสแรกของปี 2565 หากเปรียบเทียบไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ผู้ประกอบการกว่า 78%  ได้รับผลกระทบต่อต้นทุนมากกว่า 10% ขึ้นไป ส่วนผู้ประกอบการ 22% ได้รับผลกระทบต้นทุนเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 10%

“การปรับราคาสินค้าจากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่ม ซึ่งผู้ประกอบการ 88% จะต้องปรับราคาขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการ 53.9% คิดว่าจะขึ้นราคาภายใน 3 เดือน และมีมากถึง 33.9% คิดว่าจะปรับราคาขึ้นภายใน 1 เดือน มีเพียงเล็กน้อยที่คิดจะปรับราคาขึ้นหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว”

ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ให้ข้อมูล 49% คาดว่าเงินเฟ้อจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายปี 2565 ขณะที่อีก 19% คาดว่าเงินเฟ้อน่าจะถึงจุดสูงที่สุดในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ในปี 2565 ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวของภาวะเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับโอกาสพลิกฟื้นของเศรษฐกิจไทยนั้น ได้มีการสำรวจทั้งประเด็นภายในประเทศและประเด็นจากต่างประเทศ ประเด็นในประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 เสียงส่วนใหญ่ 69% ยังมีความกังวลที่คนไทยส่วนหนึ่งยังไม่เข้าถึงการบริการและการรับวัคซีนที่เพียงพอ จะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ 51.7% ยังมีความกังวลต่อการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน แม้ว่ามีแนวโน้มว่าเป็นโรคประจำถิ่น 

“ปัจจัยหลักจะทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นในปี 2565 คือ การกลับมาของนักท่องเที่ยว การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งเพื่อการสนับสนุนการท่องเที่ยว มาตรการ Test & Go ที่เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาโดยให้มีแต่การตรวจด้วย RT-PCR และกักตัวระยะสั้น และตรวจซ้ำด้วยตัวเอง (ใช้วิธี ATK ในวันที่ 5 หลังจากมาถึงเมืองไทย) ได้รับคะแนนเห็นด้วยถึง 94.8%  ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” 

ส่วนประเด็นทางด้านต่างประเทศ มีทั้งปัจจัยบวกและลบ โดยปัจจัยลบที่ต้องเฝ้าระวัง คือ สถานการณ์ความตึงเครียดของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่รบกันแล้ว ผู้ให้ข้อมูล 90% มีความกังวล โดยแบ่งเป็น 53.9% ได้แสดงความกังวลมากว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย  

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค ผู้ตอบการสำรวจ 56.7% คาดว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยพอประมาณเท่านั้นขณะที่ร้อยละ 28.6 คาดว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยมาก  

นอกจากนี้ การเปิดเส้นทางเดินรถไฟความเร็วสูงระหว่าง สปป ลาว และจีนตั้งแต่ ธันวาคม 2564 พบว่าจะเป็นการเปิดโอกาสในการส่งออกสินค้าของไทย โดย 28.6% ของผู้ตอบการสำรวจคิดว่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับประเทศไทยในการส่งออกสินค้า และ 39.3% คิดว่าเป็นโอกาสที่ดี  

ส่วนในประเด็นข้อตกลงการค้าเสรี RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่ได้เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2565 จากการสำรวจพบว่าธุรกิจอาหาร สินค้าเกษตร และธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์จะได้รับประโยชน์มากอย่างโดดเด่น และยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา ผู้ตอบการสำรวจยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการที่จะได้ใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้สามารถทำได้ทันที ถึง 30.4%

นายณรงค์ศักดิ์กล่าวย้ำว่า เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จากการสำรวจพบว่า 44.4% คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสหน้า  49.4% คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น

การขยายตัวของธุรกิจออนไลน์ พืชผลการเกษตร ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจท่องเที่ยว และการบริการยังเป็นตัวหนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้  คือ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และที่ตามมาคือ อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และพืชผลการเกษตร

ส่วนค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในไตรมาส 2 กล่าวโดยสรุปได้ว่าแม้ว่าความสัมพันธ์การค้า การลงทุน ระหว่างไทย-จีนคาดว่าจะเดินหน้าอย่างราบรื่น ขณะที่ปัญหาเรื่องเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งสถานการณ์เงินเฟ้อนั้นเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 และความขัดแย้งของชาติมหาอำนาจส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันและวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นไตรมาสที่สองของปี 2565 น่าจะชะลอตัวอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก