ครบ 1 ปี ประธานสนั่น หอการค้าฯ วอนรัฐต่อคนละครึ่งถึงสิ้นปี’65 ช่วยประชาชน

สนั่น อังอุบลกุล
สนั่น อังอุบลกุล

สนั่น เผยทำงานครบ 1 ปี หอการค้าฯวางทิศทางขับเคลื่อนองค์กร ย้ำแนวคิด 4R เร่งฟื้นเศรษฐกิจไทย พร้อมดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม และวอนรัฐต่อคนละครึ่งถึงสิ้นปี’65 ขยายเพดานหนี้ เก็บภาษีที่ดินแบบขั้นบันได กระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 4 เมษายน 2565 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการทำงานของตนที่ผ่านมาครบ 1 ปี ในตำแหน่งประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ทำงานได้กำหนดนโยบายการดำเนินงาน ต่อเนื่องจากนโยบายเร่งด่วน 99 วัน ซึ่งก็สามารถดำเนินการจนสำเร็จ และเพื่อเป็นแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่อไป จากสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันที่ยังประสบปัญหาหลายอย่าง

สนั่น อังอุบลกุล
สนั่น อังอุบลกุล

โดยเฉพาะโควิดที่ยังระบาดอยู่ และมีมาตรการหลายอย่างที่ต้องเดินหน้าเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น จึงเห็นว่ารัฐควรเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นทั่วประเทศให้เกิน 70% แล้วประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นโดยเร็ว ซึ่งหากเป็นไปได้ควรประกาศหลังสงกรานต์นี้ เพราะไทยยังพึ่งพิงทั้งการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนกับต่างชาติ

หากมีการประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นได้เร็ว จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นกลับมา นอกจากนั้น เรายังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ส่งผลให้ต้องเผชิญกับสินค้าราคาแพงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะมีแผนช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนบ้างแล้ว แต่คงยังไม่พอ และอาจจะไม่ทันต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงนี้

ภาคเอกชนเห็นว่า การกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศเป็นเรื่องสำคัญ โดยมาตรการคนละครึ่ง เฟส 4 กำลังจะหมดรอบในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งมีเม็ดเงินในระบบสะพัดแล้วกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นมาตรการที่ได้ประโยชน์และบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย พร้อมเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนได้จริง ควรที่จะขยายออกไปต่อถึงสิ้นปี 2565 เพราะเชื่อว่าจะช่วยลดแรงกดดันที่ต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จากภาวะสินค้าราคาแพงได้อีกด้วย

นอกจากนั้น เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ก็ควรขยายเวลาการเก็บเต็มจำนวนออกไปก่อน แล้วค่อยทยอยเก็บเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได ก็จะช่วยลดภาระให้ประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีนี้ได้ ทั้งนี้ ภาคเอกชนเคยเสนอเรื่องขยายเพดานหนี้สาธารณะ และรัฐบาลเองก็ได้เสนอผ่าน ครม.ไปแล้ว

ดังนั้น ควรรีบนำเรื่องขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% ให้เป็น 70% ผ่านสภา เพื่อให้รัฐบาลสามารถกู้เงินมากระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจได้ เพราะขณะนี้เพดานหนี้ใกล้เต็ม 60% แล้ว อีกทั้งเงินกู้เดิมก็เหลือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท และตอนนี้ยังเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ การกู้เงินเพิ่มมากระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้ ลดภาระหนี้ เพื่อ Reboot เศรษฐกิจ และดูแลกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้เกิดการฟื้นตัว เช่น มาตรการคนละครึ่งเฟส 5 และขยายสิทธิเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น

“ตอนนี้เครื่องจักรที่จะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในปีนี้ คือเรื่องการส่งออก ซึ่งการดูแลค่าเงินบาทและการอำนวยความสะดวก จะเป็นปัจจัยให้การส่งออกเดินหน้าได้ดีขึ้น พร้อมให้รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ตรึงราคาสินค้า เพราะหากเอกชนยังมีกำไร เชื่อว่าไม่ขึ้นราคาช่วงเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ เอกชนก็ยังประคองธุรกิจได้”

นายสนั่นกล่าวอีกว่า ด้านเศรษฐกิจของไทย หอการค้าฯเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นแบบ K-Shaped โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น คาดว่า SMEs จำนวน 1 ใน 5 จะไม่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เราคงช่วยเหลือทุกกลุ่มไม่ได้ จึงต้องมุ่งเป้าไปยังกลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน กลุ่มธุรกิจที่อยู่ K ขาล่าง ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม SMEs ต้องช่วยให้เขาไม่ลงไปมากกว่านี้ เพื่อเป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศเอาไว้ โดยประเทศไทยจำเป็นต้องนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเสริมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ให้เกิดการเติบโตมากกว่าที่เป็นอยู่ ภายใต้แนวทาง 4 R คือ

Restart–สร้างใหม่ ประเทศจำเป็นต้องสร้างธุรกิจใหม่ ๆ ต่อยอดจากธุรกิจเดิม โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ BCG หรือ Startup ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ดึงดูด และสร้างโอกาสในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

Reimagine–คิดใหม่ เพิ่มมูลค่า และสร้างความได้เปรียบ ต้องร่วมกันคิดรูปแบบ Business Model ใหม่ เพื่อตอบสนองสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หาโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ส่งเสริมการนำ EV มาใช้ให้มากขึ้น หรือการนำ AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลให้แม่นยำ

Recover–พลิกฟื้น เราต้องร่วมมือกันเพื่อประคองธุรกิจ รอโอกาสพลิกฟื้น เช่น การช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจกลับมาเดินหน้าต่อไป รวมถึงการช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน และลดค่าใช้จ่าย

Reform–ตื่นตัว เพื่อให้ปรับเร็ว ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันปฏิรูปการทำงานใหม่ โดยเฉพาะเรื่องระเบียบหรือกฎหมายที่ล้าสมัย ช่วยรัฐบาล Transform สู่ e-Government เช่น เรื่อง Ease of Doing Business เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก การลดขั้นตอนการเข้าประเทศ เพื่อสร้าง Ease of Travelling เป็นต้น เพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น สำหรับภาคธุรกิจก็ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อสร้างแต้มต่อให้ธุรกิจตัวเอง

อย่างไรก็ดี การดำเนินงานหลังจากนี้จะมีการขยายผลและต่อยอดด้วย 3 Connect the Dots เพื่อให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวและเข้มแข็งอีกครั้ง ประกอบด้วย 1. Connect the Dots for Sustainability หอการค้าฯจะขับเคลื่อนเรื่อง BCG และ ESG รวมถึงแผน Net Zero Carbon ของประเทศ ในหลาย ๆ แนวทาง อาทิ การสร้างต้นแบบการดำเนินธุรกิจด้วย BCG และ ESG เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ ได้เห็นถึงการปรับตัวของการค้าและธุรกิจใหม่ รวมถึงการดึงคนรุ่นใหม่ให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน

2.Connect the Dots for Scalability หอการค้าOจะผลักดันให้เกิด National Trade Platform ขยายตลาดการค้าไปสู่ตลาดสากล โดย Platform ดังกล่าว จะมีการเชื่อมทั้ง Business to Business, Government to Government และ People to People จากตลาดนำไปสู่การผลิต นอกจากนั้นจะมีการผลักดันให้ไทยขยายความร่วมมือ FTA กับนานาประเทศมากขึ้น ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยเป็น The Regional Hub ของภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง ทั้งนี้จะต้องขยาย Trade Facilitation โดยเฉพาะ FTA แบบ Proactive และเร่งเรื่องการเปิดด่านการค้าชายแดน เป็นต้น

3.Connect the Dots for Repeatability หลายโครงการของหอการค้าฯจะต้องขยายผลต่อเนื่อง เช่น โครงการ Big Brother ยกระดับ SMEs ไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง Sandbox Digital Finance จัดทำโมเดลต้นแบบการช่วยเหลือ SMEs ในกลุ่มค้าปลีกให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ขับเคลื่อน “Happy Model” ซึ่งมีต้นแบบ 5 จังหวัดที่ประสบความสำเร็จ รวมไปถึงโครงการ 1 ไร่ 1 ล้าน ซึ่งกำลังขยายผลต่อทั่วประเทศ