ธุรกิจใหม่จดทะเบียนลดลง 19% รัสเซีย-ยูเครน ทำราคาพลังงานพุ่ง

จดทะเบียนธุรกิจ รัสเซีย ยูเครน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยตัวเลขจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ เดือนมีนาคม 2565 ลดลง 19% มีจำนวน 7,164 ราย ผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน กระทบต้นทุนพลังงาน การผลิตสินค้า กำลังซื้อลด ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อดูสถานการณ์ แต่ยังมั่นใจ ครึ่งปีแรก จดทะเบียนได้ 42,000 รายแน่นอน

วันที่ 28 เมษายน 2565 นายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจ จัดตั้งใหม่ทั่วประเทศเดือนมีนาคม 2565 พบว่า มีจำนวน 7,164 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 25,939.56 ล้านบาท ลดลง 19% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ซึ่งมีจำนวน 8,841 ราย ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 682 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 397 ราย คิดเป็น 5% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 247 ราย คิดเป็น 3%

“แม้การจดทะเบียนจัดตั้งใหม่เดือนนี้จะลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 7 ปี เมื่อเทียบเฉพาะเดือนมีนาคมที่มีการจดทะเบียนธุรกิจ นอกจากนี้ ผลกระทบจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีผลต่อต้นทุนด้านพลังงานในการผลิตสินค้าของผู้ประกอบการ รวมไปถึงแนวโน้มราคาสินค้าสูงขึ้น กำลังซื้อลดลง ตามภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุน จึงมีผลต่อการตัดสินค้าประกอบธุรกิจ ลงทุน

แต่ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคาดว่าเศรษฐกิจไทยยังเติบโต 3.2% จากการท่องเที่ยว โควิดผ่อนคลายมากขึ้น รัฐคงดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี เพื่อหนุนเศรษฐกิจ”

อย่างไรก็ดี จากปัจจัยเหล่านี้ กรมพัฒนาฯยังคาดการณ์การเติบโตการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ครึ่งปีแรกในปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 40,000-42,000 ราย โดยทั้งปี มีจำนวนทั้งสิ้น 70,000-75,000 ราย

ขณะที่ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนมีนาคม 2565 มีจำนวน 926 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 12,380.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 790 ราย ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 92 ราย คิดเป็น 10% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 42 ราย คิดเป็น 4% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 32 ราย คิดเป็น 3%

นายจิตรกรกล่าวอีกว่า การจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่ไตรมาส 1/2565 จำนวน 22,347 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2564 จำนวน 14,902 ราย เพิ่มขึ้น จำนวน 7,445 ราย คิดเป็น 50% และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 จำนวน 23,389 ราย ลดลง จำนวน 1,042 ราย คิดเป็น 4%

ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 2,362 ราย คิดเป็น 10% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,048 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 696 ราย คิดเป็น 3%

ธุรกิจเลิกประกอบกิจการไตรมาส 1/2565 มีจำนวน 2,594 ราย เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 2,478 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 40,472.15 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 241 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 125 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 79 ราย คิดเป็น 3%

ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 31 มีนาคม 65) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 828,706 ราย มูลค่าทุน 19.73 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 200,733 ราย คิดเป็น 24.22% บริษัทจำกัด จำนวน 626,635 ราย คิดเป็น 75.62% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,338 ราย คิดเป็น 0.16%

ส่วนการลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว เดือนมีนาคม 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 53 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 17 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 36 ราย

โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 10,838 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 12 ราย เงินลงทุน 1,873 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ฮ่องกง จำนวน 7 ราย เงินลงทุน 767 ล้านบาท และจีน จำนวน 6 ราย เงินลงทุน 3,896 ล้านบาท

ปี 2565 (มกราคม – มีนาคม) คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน 146 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 26,384 ล้านบาท


จดทะเบียนธุรกิจใหม่