ครม.อนุมัติ ลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

คารม พลพรกลาง

ครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ – เนื้อที่ที่ดิน เพื่อให้มีเนื้อที่ที่เหมาะสมเพียงพอต่อการจัดพื้นที่ใช้สอยอย่างครบถ้วน ตามมาตรฐานที่กำหนด

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า

ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎระทรวงกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน ที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน ที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2549

เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดินจะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จากการกำหนดเนื้อที่ที่ดินขั้นต่ำที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนในแต่ละประเภทพึงมี เป็นการกำหนด “พื้นที่ใช้สอย” ตามลักษณะการใช้ประโยชน์บนเนื้อที่ที่ดินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแทน

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง กำหนดบทนิยาม คำว่า “พื้นที่ใช้สอย” หมายความว่า พื้นที่ในอาณาบริเวณเนื้อที่ที่ดินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน อันหมายรวมถึงพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคารที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจัดไว้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์และพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

คำว่า “ผังแม่บทการใช้ประโยชน์พื้นที่สอย” หมายความว่า ผังบริเวณในการจัดพื้นที่ใช้สอย ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่เห็นถึงองค์ประกอบทางกายภาพ และการใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอย ที่สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

และ คำว่า “แผนการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน” หมายความว่า แผนการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนภายในกำหนดระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งหรือได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชน อันครอบคลุมเเผนการดำเนินงานด้านกายภาพ ด้านวิชาการ ด้านการเงิน และด้านการบริหารจัดการ แล้วแต่กรณี

“กำหนดให้ที่ดินที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องมีเนื้อที่ที่เหมาะสมเพียงพอต่อการจัดพื้นที่ใช้สอยเพื่อรองรับการดำเนินงานตามพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนอย่างครบถ้วน โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ อว. กำหนด และต้องเป็นที่ดินที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน

ในกรณีที่ที่ดินมิได้มีพื้นที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันต้องมีการเชื่อมโยงติดต่อถึงกันในลักษณะที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดการศึกษา และสามารถจัดกิจกรรมทางการศึกษาได้โดยสะดวก” นายคารมกล่าว