มกอช.ขอสิทธิ์เทิร์ดปาร์ตี้รับรองส่งออกอาหารไปสหรัฐ-

“มกอช.” เร่ง USFDA ฝึกอบรม-ขึ้นทะเบียน Lead Instructor ให้แก่หน่วยฝึกอบรมภาครัฐ-เอกชน รวม 18 แห่ง ดันผู้ส่งออกฝ่ากฎเหล็ก FSMA สหรัฐ หลังออกกฎหมาย PCHF และ PCAF คุมเข้มสถานที่ผลิตอาหารคน-อาหารสัตว์ พร้อมยื่นสมัครให้ มกอช.สามารถรับรองระบบงานแก่หน่วยรับรองสินค้าเกษตร-อาหารฯในไทยได้ เพิ่มความคล่องตัวให้ส่งออกไทย

จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้กฎหมาย Food Safety Modernization Act (FSMA) ฉบับใหม่ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2554 และมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2559 ถือเป็นการปฏิรูปโครงสร้างกฎหมายความปลอดภัยอาหารของสหรัฐ ครั้งใหญ่ในรอบ 70 ปี เพื่อควบคุมและจัดการปัญหาด้านปนเปื้อนในอาหาร การเฝ้าระวังและควบคุมสถานประกอบการตลอดห่วงโซ่ และติดตามตรวจสอบย้อนกลับสินค้านำเข้า

พร้อมเพิ่มอำนาจให้กับองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (The United States Food and Drug Administration : USFDA) ในการกำกับดูแล และบังคับใช้กฎระเบียบต่าง ๆ กับผู้ประกอบการ รวมทั้งควบคุมและตรวจสอบกระบวนการผลิตสินค้าเข้มงวดมากขึ้น โดยสหรัฐได้ประกาศกฎระเบียบย่อยด้านความปลอดภัยอาหารออกมา จำนวน 7 ฉบับ ภายใต้ FSMA ซึ่งได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการเปลี่ยนผ่านของกฎระเบียบทั้งหมดภายในปี 2562 นั้น

นายยุทธนา นรภูมิพิภัชน์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า ในจำนวนกฎระเบียบย่อยด้านความปลอดภัยอาหาร ที่ออกมาจำนวน 7 ฉบับนั้น มีประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทย คือการที่สหรัฐยกเลิกกฎหมายควบคุมการผลิตอาหาร GMP (CFR110) เดิมที่บังคับใช้มากว่า 20 ปี และกำหนดให้ผู้ผลิตต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่มีความเข้มงวดมากขึ้น คือ preventive control for human food (PCHF) สำหรับสถานที่ผลิตอาหารที่ใช้บริโภค และ preventive control for animal food (PCAF) สำหรับอาหารสัตว์ ซึ่งผู้ผลิตต้องมีการวิเคราะห์และระบุอันตรายเพิ่มเติมจาก GMP เดิม และที่สำคัญกำหนดให้มีหัวหน้าผู้ควบคุมการผลิตที่ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรที่กำหนดและได้รับการรับรองจาก USFDA

ดังนั้น ที่ผ่านมา มกอช.ได้มีการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกของไทยที่ส่งสินค้าเกษตรและอาหารไปยังสหรัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย FSMA และกระตุ้นให้เร่งปรับตัวทางธุรกิจให้สอดคล้องและรองรับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เพื่อลดผลกระทบต่อการค้าและส่งออกอาหารไปตลาดสหรัฐในอนาคต

โดยในปี 2561 มกอช.ได้ขอให้ USFDA เข้ามาฝึกอบรมและขึ้นทะเบียน Lead Instructor ให้แก่หน่วยฝึกอบรมทั้งภาครัฐและเอกชน รวม 18 แห่ง เพื่อให้สามารถฝึกอบรมและขึ้นทะเบียน “หัวหน้าทีมความปลอดภัยอาหารประจำโรงงาน” ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนไปแล้วกว่า 600 คน สร้างความเชื่อมั่นให้กับสหรัฐอเมริกาว่าสถานที่ผลิตอาหารส่งออกของไทยปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในเรื่องอาหารที่นำเข้า ภายใต้กฎระเบียบ Third Party Certification Program ได้เปิดช่องทางให้มีการยอมรับใบรับรองที่ออกโดยหน่วยรับรองที่ได้รับการรับรองระบบงานจากหน่วยรับรองระบบงาน (accraditation body : AB) ที่สหรัฐให้การยอมรับ อันจะส่งผลให้อาหารที่ผ่านการรับรองสามารถเข้าไปยังสหรัฐในช่องทางพิเศษที่ลดการตรวจสอบซ้ำที่ปลายทาง ช่วยลดปัญหาความล่าช้าที่ด่านนำเข้าของสหรัฐ รวมทั้งลดการกักกันสินค้าที่อาจเกิดขึ้น เป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้าได้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“มกอช.ในฐานะหน่วยรับรองระบบงานด้านสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ได้ยื่นสมัครขอการยอมรับความเท่าเทียมการรับรองระบบงานด้านกฎหมาย FSMA กับ USFDA โดยได้จ่ายค่าธรรมเนียมการสมัคร เป็นเงิน 37,935 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,241,237 บาท” รองเลขาธิการสำนักงาน มกอช.กล่าว

อย่างไรก็ตาม มกอช.ยังได้มีจัดประชุมสัมมนาเรื่อง “หลักเกณฑ์/เงื่อนไขเพื่อการรับรองระบบงานขอบข่าย PCHF และ PCAF” ให้กับหน่วยรับรองภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เห็นความสำคัญของกฎหมาย FSMA พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับรองความสามารถของหน่วยรับรองสินค้าเกษตรและอาหาร ขอบข่ายกฎระเบียบว่าด้วยการควบคุมเชิงป้องกันสำหรับอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ (PCHF/PCAF) ภายใต้องค์การอาหารและยา FDA Third-Party Certification Program ให้หน่วยรับรองสามารถจัดเตรียมองค์กรและดำเนินการได้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์/เงื่อนไขที่กำหนด เป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการประกาศใช้กฎหมาย FSMA ของสหรัฐ ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบภายใน 2 ปีข้างหน้านี้