“ทิสโก้” คาดปี’61 สินเชื่อคงค้างโต 5% ขยับปล่อยกู้รายใหญ่รับอานิสงส์ลงทุนรัฐ ฟากสินเชื่อรายย่อยยังต้องระมัดระวัง ฟันธงเช่าซื้อโตแจ่ม ผลพวงยอดขายรถยนต์ฟื้น
นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า ในปี 2561 นี้ ธนาคารคาดการณ์ยอดสินเชื่อคงค้างเติบโตที่ระดับ 0-5% จากยอดสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นปี 2560 อยู่ที่
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
251,396 ล้านบาท โดยการเติบโตจะมาจากทุกสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อรายใหญ่ที่ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐานและกระจายรายได้สู่ประชาชนฐานราก ทำให้สินเชื่อรายย่อยปรับตัวดีขึ้นด้วย
สำหรับสินเชื่อรายย่อยปีนี้ยังต้องระมัดระวังในการปล่อย แต่ก็คาดว่ายังเติบโตได้ดี ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อคาดจะได้รับผลดีจากยอดขายรถยนต์ใหม่ที่คาดไว้ที่ 850,000-900,000 คัน ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังเติบโตต่อเนื่อง หลังรับโอนธุรกิจรายย่อยจากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดไทย (SCBT) เข้ามา
ซึ่งฐานลูกค้า SCBT ยังส่งผลดีต่อธุรกิจธนบดีธนกิจ (เวลท์) ที่ทางธนาคารจะแนะนำการลงทุนให้ลูกค้าผ่านโครงสร้างที่ทำให้ซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย (Open Architecture) อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์หลักของธนาคารยังใช้การเสนอสินค้าและบริการภายในกลุ่ม (Cross-Selling) เป็นหลัก โดยปีนี้คาดว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของธนาคารปีนี้น่าจะเติบโตได้ดี จากรายได้การขายกองทุนและประกันในรูปแบบ Open Architecture เช่นเดียวกับรายได้ดอกเบี้ยที่ยังจะเติบโตได้ต่อเนื่อง
“ปีนี้เรายังหาตลาดที่มีการเติบโต มีกำไร และหาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองลูกค้าได้ดี ผ่านการ Cross-Selling โดยกลุ่มลูกค้าหลักของเราคือกลุ่มลูกค้ารายได้ปานกลาง ลูกค้าที่เตรียมเกษียณอายุ โดยธนาคารเรามีลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพกว่า 600,000 ราย ถือว่าใหญ่ที่สุดในไทย เราก็จะเสนอทั้งกองทุนรวม ประกัน ขณะเดียวกันในปีนี้ธนาคารยังจะขยายช่องทางดิจิทัล โดยจะเพิ่มฟีเจอร์บนแอปพลิเคชั่นโมบายแบงกิ้ง จะเริ่มต้นที่สินเชื่อเช่าซื้อและกลุ่มเวลท์ จากนั้นจะขยายสู่ลูกค้ารายย่อยกลุ่มอื่น ๆ เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นต้น”
นายสุทัศน์กล่าวด้วยว่า ทิสโก้ตั้งเป้าคุมหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ไม่ให้เกิน 2.3% ขณะเดียวกันก็มีความเพียงพอของเงินกองทุน (Coverage ratio) อยู่ที่ระดับ 197% (ณ สิ้นปี 2560)