คอลัมน์ ลงทุนทั่วโลก
ตลาดหุ้นทั่วโลกเปิดทำการในปี 2018 ประมาณ 2 สัปดาห์กว่า พบว่าให้ผลตอบแทนของการลงทุนที่แข็งแกร่งมาก โดยหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนประมาณ 4% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน และพบว่าดัชนีหุ้นในหลายประเทศสร้างสถิติราคาปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ดังนั้นคำถามสำคัญคือจากนี้ไป เราควรกังวลอะไร ?
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
ประเด็นแรก คือ ตลาดหุ้นที่เป็นขาขึ้นนี้จะต่อเนื่องได้นานแค่ไหน ? คำตอบต้องกลับมาพิจารณาที่พื้นฐานของเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ เมื่อพิจารณาจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั่วโลกพบว่าอยู่ในช่วงของการขยายตัวและแนวโน้มการขยายตัวนี้น่าจะต่อเนื่องหนุนส่งไปได้ 6-12 เดือน ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งด้วยการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวของราคาน้ำมันจะมีส่วนให้ภาพรวมของกำไรสุทธิต่อหุ้นขยายตัว
ประเด็นที่สองคือมูลค่าหุ้นขณะนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่แพงแล้วหรือไม่ ? คำตอบคือ ถ้าไม่มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้น เราจะพบว่าขณะนี้ตลาดหุ้นอยู่ในระดับราคาที่ไม่ถูกอีกต่อไป และหลายตลาดเริ่มแพง อย่างไรก็ดี ดังที่กล่าวในตอนต้นว่าด้วยราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวและเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว ทำให้ผมคาดว่า กำไรสุทธิต่อหุ้นจะถูกปรับเพิ่มขึ้น และหนุนให้ราคาหุ้นลดความแพงลงได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ยังถือว่าระดับราคาหุ้นไม่ถูกอยู่ดี แต่ด้วยการที่ในปีนี้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวกว้างขวางทั่วถึงทุกประเทศ และแนวโน้มกำไรจะถูกปรับให้เพิ่มขึ้น ทำให้ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ตลาดหุ้นยังคงจะให้ผลตอบแทนที่ดีอีกเช่นกัน
ประเด็นตลาดจะมีการปรับฐานหรือไม่ ? เพราะการขึ้นของดัชนีหุ้นโดยเฉพาะดัชนีหุ้น S&P 500 ของสหรัฐ โดยไม่มีการปรับฐานลงมา 5% ยาวนานถึง 14 เดือน ทำให้วัฏจักรขาขึ้นรอบนี้เป็นขาขึ้นที่ไม่มีการปรับฐานยาวนานที่สุด นั่นหมายความว่า จากนี้ไป นักลงทุนจะต้องระวังเรื่องการปรับฐาน โดยเฉพาะจากปัจจัยเสี่ยงที่ตลาดและข้อมูลที่นักลงทุนไม่คาดฝัน เช่น ความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์การเมือง จากเกาหลีเหนือและอื่น ๆ เป็นต้น
สุดท้ายแม้ความเป็นไปได้น้อย แต่ต้องจับตาคือการขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วและแรงกว่าที่คาดของธนาคารกลาง รวมทั้งการเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินที่สร้างความประหลาดใจแก่ตลาด จากธนาคารกลางขนาดใหญ่ โดยต้นปีนี้ ธนาคารกลางแคนาดาได้ปรับดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น ขณะที่มีกระแสข่าวว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะลดขนาดวงเงินที่เข้าซื้อพันธบัตรและตราสารการเงิน (QE) ซึ่งทำให้ตลาดประหลาดใจและประเมินความเป็นไปได้อย่างใกล้ชิด
กล่าวโดยสรุปคือ ในเชิงพื้นฐานและแนวโน้มกำไรสุทธิ ตลาดหุ้นมีแนวโน้มสดมาก และน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในปีนี้ แต่ด้วยระดับความแพงของราคาหุ้นทำให้การเข้าเลือกตลาดและกลุ่มอุตสาหกรรมในการลงทุน ควรจะต้องหาข้อมูลและประเมินรอบด้าน
นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่จะต้องจับตาคือการเปลี่ยนนโยบายการเงินกะทันหันของธนาคารกลางขนาดใหญ่ ล่าสุดคือกระแสข่าวของธนาคารกลางญี่ปุ่น เป็นต้น แต่รายละเอียดที่เป็นทางการในประเด็นนี้ยังไม่มี ซึ่งอาจจะต้องรอการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น จึงจะเห็นความชัดเจนในประเด็นนี้อีกครั้ง