ต้องยอมรับว่า “Circular Economy” หรือ “แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน” ถือเป็นนวัตกรรมที่ปฏิวัติรูปแบบการผลิตและบริโภคครั้งใหญ่ของโลกนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม เพราะเป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการของเสียที่ใช้ หรือบริโภคแล้วนำกลับมาเป็นทรัพยากรที่ใช้หมุนเวียนในระบบด้วยกระบวนการที่เหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็นการนำไปสู่กระบวนการผลิตใหม่ (reprocess) การออกแบบใหม่ (redesign) การสร้างคุณค่าใหม่ (added value) การสร้างนวัตกรรมใหม่ (innovation) การใช้ซ้ำ (reuse) ตลอดจนการสร้างความร่วมมือ (collaboration) ที่เพิ่มขึ้น ทั้งที่เกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรใหม่น้อยที่สุด เกิดประโยชน์สูงสุด และยังลดปริมาณขยะ
- ด่วน! วอยซ์ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
ขณะเดียวกันยังทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพมากขึ้น มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน อันเป็นการสร้างคุณค่าที่ดี ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ จากข้อมูล CEO Guide to the Circular Econ-omy, WBCSD (World Business Council for Sustainable Development)คาดการณ์ว่าแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจะสามารถสร้างโอกาสให้แก่ธุรกิจได้ถึงราว 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่การจะทำให้ แนวคิดนี้แพร่หลายถูกนำไปใช้ในวงกว้างทุกภาคส่วน สิ่งที่สำคัญคือการสร้างความตระหนัก จิตสำนึก ทัศนคติ และความเชื่อให้กับผู้บริหารคนในองค์กร ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ตลอดจนประชาชนทั่วไปให้เห็นถึงความสำคัญของแนวคิดดังกล่าว เพื่อร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้
ด้วยเหตุนี้ “เอสซีจี” จึงจัดงานสัมมนา “SD Symposium 2018” ภายใต้แนวคิด “Circular Economy : The Future We Create” ขึ้น เพื่อจุดประกายผลกระทบที่โลกกำลังเผชิญ และชี้ให้เห็นความสำคัญของแนวคิดดังกล่าว ผ่านการสร้างความเข้าใจ การสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและบริโภคสู่แนวปฏิบัติของเศรษฐกิจหมุนเวียน
ด้วยการนำเสนอตัวอย่างการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อทำให้เกิดความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งมีองค์กรชั้นนำระดับโลก ภาครัฐ ภาคประชาสังคมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์ตอัพ ชุมชน มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและต้นแบบความสำเร็จ
“รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า จากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้ความต้องการใช้ทรัพยากรเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยคาดว่าในปี 2030 ความต้องการใช้ทรัพยากรของโลกจะสูงถึง3 เท่าของปริมาณทรัพยากรที่มีอยู่
“ปัจจัยดังกล่าวเกิดจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนที่กำลังเดินหน้าพัฒนาประเทศ และเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าเพื่อป้อนตลาดโลก ซึ่งสวนทางกับปริมาณทรัพยากรที่ลดลงเรื่อย ๆ ทั้งจากการถูกทำลาย การใช้อย่างไม่รู้คุณค่า ความไม่สมดุลนี้ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างมหาศาล”
“ขณะเดียวกันเมื่อทรัพยากรถูกนำไปใช้แล้วจะกลายเป็นขยะจำนวนมาก โดยปัจจุบันคนไทย 1 คน สร้างขยะเฉลี่ยถึงวันละ 1.1 กิโลกรัม และที่จริงแล้วขยะเหล่านั้นสามารถนำกลับมาใช้เป็นทรัพยากรใหม่ได้มากกว่าร้อยละ 60 แต่ทุกวันนี้นำไปใช้ได้เพียงร้อยละ 31 เท่านั้น เพราะเราไม่ตระหนัก และให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงทำให้เสียโอกาสในการนำทรัพยากรเหล่านั้นกลับมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อไป”
“Circular Economy จึงเป็นแนวคิดที่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เพราะจะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น และมีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด ไม่มีของเหลือทิ้งในกระบวนการตั้งแต่การผลิต การ
บริโภค จนถึงการจัดการเมื่อสินค้าหมดอายุ”
แต่การจะทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ และยั่งยืน “รุ่งโรจน์” บอกว่า สิ่งสำคัญคือความร่วมมือทุกภาคส่วน ซึ่งเอสซีจีเองในฐานะภาคธุรกิจ จึงขอเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชนได้อย่างแท้จริง
เนื่องจากที่ผ่านมา เอสซีจีได้นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ ผ่านการขับเคลื่อนใน3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
หนึ่ง reduced material use และ durability ซึ่งเป็นการลดใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิต
สอง upgrade และ replace เป็นการพัฒนานวัตกรรมเพื่อทดแทนสินค้า หรือวัตถุดิบชนิดเดิม ด้วยสินค้าหรือวัตถุดิบชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง หรือนำไปรีไซเคิลได้มากขึ้น
สาม reuse และ recycle เป็นการเพิ่มความสามารถในการหมุนเวียนสินค้าที่ใช้งานแล้วให้กลับมาใช้ใหม่
“ไม่เพียงเท่านี้ เอสซีจียังสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งใน และต่างประเทศเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สมบูรณ์ หรืออย่างการจัดสัมมนาครั้งนี้ที่เชื่อว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนวัตกรรม และกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป”
“ปีเตอร์ บากเกอร์” ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร สภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (WBCSD-World Business Council forSustainable Development) กล่าวว่า ในปัจจุบันโลกมีความซับซ้อนมากขึ้น เพราะการเมืองมีอิทธิพลครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและธุรกิจที่ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้ อีกทั้งเรื่องความยั่งยืนยังเป็นเรื่องที่ถูกกล่าวถึงมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่จะไม่ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 2 องศา
“ทั้งการประกาศใช้เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainable development goals-SDGs) ที่เป็นแนวทางการพัฒนาโลกใน 15 ปี (2016-2030) ที่จะเป็นการสร้างอนาคตที่ดีที่ทุกคนต้องการ เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ รวมถึงปรากฏการณ์ที่เห็นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับปัญหาพลาสติกในท้องทะเล โดยเฉพาะภาพปลาวาฬที่ตายเกยชายหาด ที่ในท้องเต็มไปด้วยพลาสติก ยิ่งสร้างความตระหนกให้แก่ผู้คนทั่วโลก จนหลายประเทศได้ออกมาตรการเพื่อจัดการเรื่องดังกล่าว”
“ที่ผ่านมามีงานวิจัยระบุว่า หลาย ๆ ธุรกิจสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีขึ้นได้ ถ้านำเอาแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนมาเป็นเป้าหมายใหญ่ขององค์กร เพราะการใช้ทรัพยากรเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะตอบโจทย์ทางเศรษฐศาสตร์ขององค์กร และการที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ให้ประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องค่อย ๆ ปรับกระบวนการธุรกิจที่ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือมีประสิทธิภาพดีที่สุด นอกจากนี้ความร่วมมือยังเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้เกิดนวัตกรรมที่จะผลักดันให้เกิดวิธีคิดใหม่ ๆ”
“ปีเตอร์ บากเกอร์” กล่าวอีกว่า แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับระบบเศรษฐกิจแบบเดิมที่เป็นเส้นตรง ที่ไม่ใช่แค่นำทรัพยากรมาผลิตสินค้า และนำไปบริโภค แล้วทิ้งไป (take-make-dispose) แต่เป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สุงสุด เพื่อเปลี่ยนขยะ หรือของเสียให้นำกลับมาใช้หมุนเวียน (make-use-return) ได้ ตรงนี้ถือเป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
“ปัจจัยที่ภาคธุรกิจควรนำมาพิจารณา เพื่อให้เดินไปตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ประกอบด้วย สินค้าจะมีอายุยาวนานได้อย่างไร จะทำบริการให้เกิด sharing platform ได้อย่างไร จะนำทรัพยากรมาหมุนเวียนใช้ได้อย่างไร จะทำบริการให้เป็นสินค้า (product as a service) ได้อย่างไร และจะทำอย่างไรให้เกิด circular supplies”
ที่สำคัญ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในสังคม จะทำให้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเกิดผลในวงกว้าง ทั้งการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและนวัตกรรม ลดการใช้ทรัพยากร และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งยังช่วยส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้คน และชุมชนทั่วโลกให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
อันจะทำให้ความตกลงปารีส และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแท้จริง
รับข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ อย่าลืมกดติดตาม
และกดปุ่ม See first (เห็นโพสต์ก่อน)
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat
ติดตามอ่านข่าวสารจากประชาชาติออนไลน์ ทันสมัย-ทันใจ
ดาวน์โหลดผ่านแอปพลิเคชั่น >> Prachachat << ได้แล้ววันนี้
ทั้งระบบ ios และ android
อ่านประชาชาติธุรกิจ ทั้งฉบับผ่าน e-Newspaper
ได้ที่แอปพลิเคชั่น Ookbee เลือก “ประชาชาติ”