เลือกตั้งญี่ปุ่น “22 ต.ค.” เดิมพันครั้งใหม่ของ “อาเบะ”-

ชินโซ อาเบะ, ยูริโกะ โคอิเกะ

การเลือกตั้วทั่วไปครั้งใหม่ของญี่ปุ่นในวันที่ 22 ต.ค.นี้ เร่งให้ “ชินโซ อาเบะ” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันและหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ “แอลพีดี” ออกหาเสียง เพื่อหวังจะเป็นรัฐบาลต่อสมัยที่ 3

คู่แข่งคนสำคัญพรรคแอลพีดีในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือพรรคการเมืองใหม่อย่าง”พรรคความหวังใหม่” ของผู้ว่าการหญิงกรุงโตเกียว “ยูริโกะ โคอิเกะ”

การเลือกตั้งรอบนี้ เกิดขึ้นจากที่อาเบะประกาศยุบสภากะทันหันเมื่อปลายเดือนกันยายน เนื่องจากคะแนนความนิยมในตัวเขาเพิ่มสูงขึ้น จากที่เมื่อต้นปีอาเบะเผชิญข้อครหาว่าเขาใช้ตำแหน่งเอื้อประโยชน์ให้คนใกล้ชิดจนคะแนนนิยมตกต่ำ

โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พรรคแอลพีดีได้ลงมติแก้กฎให้หัวหน้าพรรคดำรงตำแหน่งได้ 3 สมัยติดต่อกัน หมายความว่า อาเบะที่นั่งเก้าอี้ผู้นำพรรคมา 2 สมัย จะสามารถอยู่ต่อได้อีก 1 สมัย และมีโอกาสได้เป็นนายกฯต่ออีกสมัย ทั้งนี้การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคครั้งใหม่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนปีหน้า

และสถานการณ์ขณะนี้ดูเหมือนว่าพรรครัฐบาลของอาเบะ มีโอกาสชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ โดยผลสำรวจของสำนักข่าวเกียวโดระบุว่า พรรคแอลพีดีและพรรคพันธมิตร “โคเมอิโตะ” น่าจะชนะร่วมกัน 300 ที่นั่ง จาก 465 ที่นั่งในสภาล่าง ขณะที่พรรคความหวังใหม่น่าจะได้ 60 ที่นั่ง เพราะแม้ว่าโคอิเกะจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะความนิยมในตัวเธอที่มีแนวคิดการบริหารใหม่ แต่หลายฝ่ายมองว่า นโยบายที่ใช้หาเสียงครั้งนี้ยังมีจุดที่ไม่ชัดเจนหลายประการ

หากพรรคแอลพีดีชนะเลือกตั้ง และอาเบะได้นั่งเก้าอี้ผู้นำพรรคต่ออีกสมัย นั่นหมายความว่า เขาจะได้เป็นรัฐบาลผู้จัดงานโอลิมปิก 2020 ตามที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ และจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด

อาเบะเคยลั่นวาจาไว้ว่า เขาต้องการอยู่ต่อจนได้เป็นผู้จัดโอลิมปิก 2020 เขาเชื่อว่าโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ จะเป็นเสมือนการ “กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศเชิงจิตวิทยา”

โดยที่ผ่านมาญี่ปุ่นจัดสรรงบประมาณ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สร้างสเตเดี้ยมและโครงสร้างพื้นฐาน และอีกกว่าพันล้าน ในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ซึ่งธนาคารกลางญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าการลงทุนนี้จะทำให้จีดีพีประเทศเพิ่มขึ้น 0.3% ต่อปี ไปอีกราว 2-3 ปีข้างหน้า

รัฐบาลญี่ปุ่นคาดหวังว่าโอลิมปิกจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มอีกเท่าตัว เป็น 40 ล้านคนต่อปีภายในปี 2020 และช่วยเพิ่มสายป่านให้แก่ธุรกิจกีฬาในประเทศ โดยคาดหวังว่า “กีฬา” จะกลายเป็นอีกธุรกิจหลักกระตุ้นจีดีพี

ทั้งเตรียมจัดการแข่งขันกีฬาเบสบอล และซอฟต์บอล ที่เมืองฟุกุชิมะ พื้นที่ประสบเหตุแผ่นดินไหวในปี 2011 ทำให้สารกัมมันตรังสีรั่วไหลจากโรงไฟฟ้า โดยคาดว่าหากจัดการแข่งขันที่เมืองนี้ จะช่วยยืนยันถึงความสำเร็จของรัฐบาลในการจัดการปัญหาพื้นที่ภัยพิบัติได้ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้พื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการประกาศว่าปลอดภัยแล้ว แต่ก็ยังมีเสียงครหาถึงความสะอาดของน้ำและดินอยู่

และอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญที่อาเบะต้องการผลักดันให้สำเร็จหากได้เป็นนายกฯต่อ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาตรา 9 ที่ระบุว่าญี่ปุ่นสละสิทธิ์ในการทำสงคราม เพื่อเพิ่มบทบาทของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ให้กลายเป็น “กองทัพ” อย่างเป็นทางการ โดยอาเบะมองว่า ญี่ปุ่นต้องสร้างความเข้มแข็งเพื่อรับมือกับการก่อกวนของเกาหลีเหนือ หรืออีกนัยหนึ่งคือการฟื้นความเป็นมหาอำนาจทางการทหารของญี่ปุ่นเช่นกัน

สำนักข่าว “ไมนิจิ” ของญี่ปุ่นวิเคราะห์ว่า เป็นไปได้ที่อาเบะจะใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกครั้งนี้ ในการแก้ไขกฎหมาย ดังที่เขาเคยกล่าวว่า “เราควรทำให้ปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่โตเกียวจัดทั้งโอลิมปิกเกมส์และพาราลิมปิกเกมส์ เป็นปีที่ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการ “เกิดใหม่” อีกครั้ง”