StashAway กับก้าวต่อไปสู่ “ดิจิทัลเวลท์แมเนจเมนต์” ของคนไทย

เงินดิจิทัล

เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนผันเข้าสู่ยุคแห่งดิจิทัล จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนยุดใหม่ สะท้อนจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมการเงิน ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน และนำไปสู่ “Digital Wealth Management” หรือการบริหารจัดการความมั่งคั่งด้วยระบบดิจิทัลในปัจจุบัน

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “มิเกเล เฟอร์ราริโอ” ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มบริษัท StashAway หนึ่งในผู้นำแพลตฟอร์มบริหารการลงทุนชื่อดังจากสิงคโปร์  และ “ยศกร นิรันดร์วิชย” กรรมการผู้จัดการ บลจ.สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ถึงการเติบโตของ Digital Wealth Management มุมมองการลงทุนและแผนธุรกิจในอนาคต

Digital Wealth Management กำลังเติบโต

โดยเริ่มจาก “มิเกเล” เล่าว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้าทุกอย่างจะกลายเป็น Trend Digital Wealth Management ทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันเราเห็นเทรนด์ที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐและยุโรปที่ปัจจุบันมีสัดส่วน “Digital Wealth Management” สูงถึง 70-80% ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย เราเชื่อว่ายังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก เพราะคนในปัจจุบันมีพฤติกรรมในการเข้าไปทำธุรกรรมในธนาคารที่ลดน้อยลงมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เนื่องจากทุกอย่างสามารถทำผ่านแอปพลิเคชั่นได้เกือบทั้งหมด ดังนั้น เราเริ่มเห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงจากธุรกรรมแบบดั้งเดิมมาสู่การทำธุรกรรมผ่านดิจิทัลที่เริ่มต้นจากฝั่งสหรัฐ กำลังมาสู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยมากขึ้น

สร้างความเชื่อมั่นการลงทุนคนไทย

“มิเกเล” เล่าต่อว่า สำหรับในประเทศกำลังอยู่ในจุดเริ่มต้น ฉะนั้น สิ่งแรกที่ต้องยอมรับคือการลงทุนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่น ทำให้จุดประสงค์ของ StashAway คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในการลงทุน เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนไทยมากขึ้น

โดย StashAway พบปัญหาของคนไทยส่วนใหญ่ยังคงขาดความรู้ในเรื่องของการลงทุนที่ดี และความรู้บริหารจัดการเงิน แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าคนไทยมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา แต่ทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศยังมีจำกัดอยู่มาก มีความซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมสูง

มิเกเล เฟอร์ราริโอ ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มบริษัท StashAway

นอกจากนี้ ปัจจุบันคนไทยมีการถือเงินสดในสัดส่วนที่สูงถึง 47% เทียบกับการถือเงินของคนสหรัฐที่มีเพียง 14% และสิงคโปร์ 37%  ซึ่งการถือเงินสดจำนวนมากจะทำให้เสียโอกาสในการใช้เงินทำงาน สร้างความมั่งคั่ง แต่การมี Digital Wealth Management เข้ามาสามารถช่วยให้ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการลงทุนผ่านระบบการบริหารจัดการความมั่งคั่งบนแฟลตฟอร์มออนไลน์ ก็ช่วยลดความซับซ้อนในการลงทุนต่างประเทศ และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกัน

ด้าน “ยศกร นิรันดร์วิชย” กรรมการผู้จัดการ บลจ.สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า สำหรับการดำเนินธุรกิจ Digital Wealth Management ในประเทศไทย ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเริ่มต้น มีฐานลูกค้าหลากหลาย อายุเฉลี่ย 27-40 ปี และฐานลูกค้ายังคงกระจุกตัวในพื้นที่กรุงเทพฯ

ทำให้เราจะมุ่งขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมมากขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวัด ด้วยการส่งเสริมการเริ่มลงทุนแบบบริหารจัดการความมั่งคั่ง ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก และลงทุนง่ายบน Digital Wealth Management รวมถึงมีการให้ความรู้การลงทุนอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับความเสี่ยงที่แต่ละคนสามารถรับได้

“StashAway ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่น่าสนใจอีกหลายตัวที่เปิดบริการอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งเราก็มีแผนที่จะทยอยนำผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับคนไทยเข้ามา เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่มากขึ้น“ นายยศกรกล่าว

นายยศกร นิรันดร์วิชย กรรมการผู้จัดการ บลจ.สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด
เตรียมปั่น AUM ในไทย 5 ปี เติบโต 10-20%

“ยศกร นิรันดร์วิชย” กล่าวว่า สำหรับในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี โดย “มิเกเล”  วางเป้าหมายการเติบโตของ StashAway ในประเทศไทย ในอีก 5 ปีข้างหน้า มีสัดส่วนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) คิดเป็นสัดส่วน 10-20% ของ AUM ทั้งหมดของกลุ่ม StashAway

โดยในช่วงต้นปี 2564 กลุ่ม StashAway มี AUM ทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท โดยมีการขยายการให้บริการใน 5 ประเทศ เริ่มต้นที่ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ฮ่องกง และไทย โดยคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีการขยายบริการเพิ่มเติมในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้  StashAway ผ่านการระดมทุนมาแล้ว 6 รอบ (Series D) และมีทุนชำระแล้ว (Paid-up Capital) รวม 61.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 2,000 ล้านบาท

ชูโปรดักต์ลงทุนต่างประเทศผ่าน ETF 

ปัจจุบัน StashAway มีผลิตภัณฑ์สำหรับการลงทุนของคนไทยอยู่ด้วยกัน 3 ตัว ซึ่งยังคงเน้นไปที่การลงทุนผ่าน ETF ทั้งหมด เนื่องจากเราเชื่อว่าการลงทุนผ่าน ETF จะช่วยคัดสรรหุ้นที่ดีที่สุด และยังเป็นการลงทุนที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงได้อย่างดี

1.General Investing Portfolio

ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน ETF ตามระดับความเสี่ยงที่คุณเลือกได้มากถึง 12 ระดับ โดยเทคโนโลยีของเราจะช่วยบริหารพอร์ตโดยการเลือกและปรับสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เงินของคุณเติบโตในระยะยาว บนระดับความเสี่ยงที่คุณกำหนดไว้

2.Goal-based Investing Portfolio

ลงทุนเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่สำคัญในชีวิต เพียงแค่บอกเป้าหมายของคุณ ระบบจะช่วยคำนวณเงินที่ต้องใช้ สร้างพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน ETF และออกแบบแผนการลงทุนรายเดือน รวมทั้งคอยแนะนำระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมตลอดเส้นทางการลงทุนของคุณ

3.Thematic Portfolio

ลงทุนในเทรนด์แห่งอนาคตที่มีศักยภาพจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับโลกและมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว ให้คุณได้ลงทุนใน ETF จากผู้จัดการกองทุน Thematic ชั้นนำ ในกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมที่คุณเชื่อมั่นบนระดับความเสี่ยงที่ควบคุมได้ โดยมี 4 ธีม ได้แก่

  • Technology Enablers
  • Healthcare Innovation
  • The Future of Customer Tech
  • Environment and Cleantech
แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุน

สุดท้าย “มิเกเล” กล่าวว่า ความเข้าใจในเรื่องของการเงินเป็นสิ่งสำคัญ อยากฝากถึงนักลงทุนให้ศึกษาทำความเข้าใจเรื่องของการบริหารการวางแผนการเงินในระยะยาว อย่ามองการลงทุนแค่เพียงสั้น ๆ ให้มองให้ยาวขึ้น และเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงให้ดี นี่คือหลักการที่ดีในการลงทุนระยะยาว

จากผลการศึกษาพบว่าการกระจายการลงทุน (Asset Allocation) เป็นตัวสร้างผลตอบแทนกว่า 80% ในพอร์ตการลงทุน ดังนั้น การกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์มีแนวโน้มจะส่งผลดีต่อภาพรวมพอร์ตการลงทุน

ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม 1-3% เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมาก