เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนผันเข้าสู่ยุคแห่งดิจิทัล จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนยุดใหม่ สะท้อนจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมการเงิน ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน และนำไปสู่ “Digital Wealth Management” หรือการบริหารจัดการความมั่งคั่งด้วยระบบดิจิทัลในปัจจุบัน
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “มิเกเล เฟอร์ราริโอ” ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มบริษัท StashAway หนึ่งในผู้นำแพลตฟอร์มบริหารการลงทุนชื่อดังจากสิงคโปร์ และ “ยศกร นิรันดร์วิชย” กรรมการผู้จัดการ บลจ.สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ถึงการเติบโตของ Digital Wealth Management มุมมองการลงทุนและแผนธุรกิจในอนาคต
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
Digital Wealth Management กำลังเติบโต
โดยเริ่มจาก “มิเกเล” เล่าว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้าทุกอย่างจะกลายเป็น Trend Digital Wealth Management ทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันเราเห็นเทรนด์ที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐและยุโรปที่ปัจจุบันมีสัดส่วน “Digital Wealth Management” สูงถึง 70-80% ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย เราเชื่อว่ายังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก เพราะคนในปัจจุบันมีพฤติกรรมในการเข้าไปทำธุรกรรมในธนาคารที่ลดน้อยลงมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เนื่องจากทุกอย่างสามารถทำผ่านแอปพลิเคชั่นได้เกือบทั้งหมด ดังนั้น เราเริ่มเห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงจากธุรกรรมแบบดั้งเดิมมาสู่การทำธุรกรรมผ่านดิจิทัลที่เริ่มต้นจากฝั่งสหรัฐ กำลังมาสู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยมากขึ้น
สร้างความเชื่อมั่นการลงทุนคนไทย
“มิเกเล” เล่าต่อว่า สำหรับในประเทศกำลังอยู่ในจุดเริ่มต้น ฉะนั้น สิ่งแรกที่ต้องยอมรับคือการลงทุนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่น ทำให้จุดประสงค์ของ StashAway คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ในการลงทุน เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนไทยมากขึ้น
โดย StashAway พบปัญหาของคนไทยส่วนใหญ่ยังคงขาดความรู้ในเรื่องของการลงทุนที่ดี และความรู้บริหารจัดการเงิน แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าคนไทยมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา แต่ทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศยังมีจำกัดอยู่มาก มีความซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมสูง
นอกจากนี้ ปัจจุบันคนไทยมีการถือเงินสดในสัดส่วนที่สูงถึง 47% เทียบกับการถือเงินของคนสหรัฐที่มีเพียง 14% และสิงคโปร์ 37% ซึ่งการถือเงินสดจำนวนมากจะทำให้เสียโอกาสในการใช้เงินทำงาน สร้างความมั่งคั่ง แต่การมี Digital Wealth Management เข้ามาสามารถช่วยให้ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการลงทุนผ่านระบบการบริหารจัดการความมั่งคั่งบนแฟลตฟอร์มออนไลน์ ก็ช่วยลดความซับซ้อนในการลงทุนต่างประเทศ และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกัน
ด้าน “ยศกร นิรันดร์วิชย” กรรมการผู้จัดการ บลจ.สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า สำหรับการดำเนินธุรกิจ Digital Wealth Management ในประเทศไทย ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงเริ่มต้น มีฐานลูกค้าหลากหลาย อายุเฉลี่ย 27-40 ปี และฐานลูกค้ายังคงกระจุกตัวในพื้นที่กรุงเทพฯ
ทำให้เราจะมุ่งขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมมากขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวัด ด้วยการส่งเสริมการเริ่มลงทุนแบบบริหารจัดการความมั่งคั่ง ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก และลงทุนง่ายบน Digital Wealth Management รวมถึงมีการให้ความรู้การลงทุนอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับความเสี่ยงที่แต่ละคนสามารถรับได้
“StashAway ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่น่าสนใจอีกหลายตัวที่เปิดบริการอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งเราก็มีแผนที่จะทยอยนำผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับคนไทยเข้ามา เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนที่มากขึ้น“ นายยศกรกล่าว
เตรียมปั่น AUM ในไทย 5 ปี เติบโต 10-20%
“ยศกร นิรันดร์วิชย” กล่าวว่า สำหรับในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี โดย “มิเกเล” วางเป้าหมายการเติบโตของ StashAway ในประเทศไทย ในอีก 5 ปีข้างหน้า มีสัดส่วนสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) คิดเป็นสัดส่วน 10-20% ของ AUM ทั้งหมดของกลุ่ม StashAway
โดยในช่วงต้นปี 2564 กลุ่ม StashAway มี AUM ทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท โดยมีการขยายการให้บริการใน 5 ประเทศ เริ่มต้นที่ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ฮ่องกง และไทย โดยคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีการขยายบริการเพิ่มเติมในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ StashAway ผ่านการระดมทุนมาแล้ว 6 รอบ (Series D) และมีทุนชำระแล้ว (Paid-up Capital) รวม 61.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 2,000 ล้านบาท
ชูโปรดักต์ลงทุนต่างประเทศผ่าน ETF
ปัจจุบัน StashAway มีผลิตภัณฑ์สำหรับการลงทุนของคนไทยอยู่ด้วยกัน 3 ตัว ซึ่งยังคงเน้นไปที่การลงทุนผ่าน ETF ทั้งหมด เนื่องจากเราเชื่อว่าการลงทุนผ่าน ETF จะช่วยคัดสรรหุ้นที่ดีที่สุด และยังเป็นการลงทุนที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงได้อย่างดี
1.General Investing Portfolio
ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน ETF ตามระดับความเสี่ยงที่คุณเลือกได้มากถึง 12 ระดับ โดยเทคโนโลยีของเราจะช่วยบริหารพอร์ตโดยการเลือกและปรับสัดส่วนสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เงินของคุณเติบโตในระยะยาว บนระดับความเสี่ยงที่คุณกำหนดไว้
2.Goal-based Investing Portfolio
ลงทุนเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่สำคัญในชีวิต เพียงแค่บอกเป้าหมายของคุณ ระบบจะช่วยคำนวณเงินที่ต้องใช้ สร้างพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน ETF และออกแบบแผนการลงทุนรายเดือน รวมทั้งคอยแนะนำระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมตลอดเส้นทางการลงทุนของคุณ
3.Thematic Portfolio
ลงทุนในเทรนด์แห่งอนาคตที่มีศักยภาพจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับโลกและมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว ให้คุณได้ลงทุนใน ETF จากผู้จัดการกองทุน Thematic ชั้นนำ ในกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมที่คุณเชื่อมั่นบนระดับความเสี่ยงที่ควบคุมได้ โดยมี 4 ธีม ได้แก่
- Technology Enablers
- Healthcare Innovation
- The Future of Customer Tech
- Environment and Cleantech
แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุน
สุดท้าย “มิเกเล” กล่าวว่า ความเข้าใจในเรื่องของการเงินเป็นสิ่งสำคัญ อยากฝากถึงนักลงทุนให้ศึกษาทำความเข้าใจเรื่องของการบริหารการวางแผนการเงินในระยะยาว อย่ามองการลงทุนแค่เพียงสั้น ๆ ให้มองให้ยาวขึ้น และเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงให้ดี นี่คือหลักการที่ดีในการลงทุนระยะยาว
จากผลการศึกษาพบว่าการกระจายการลงทุน (Asset Allocation) เป็นตัวสร้างผลตอบแทนกว่า 80% ในพอร์ตการลงทุน ดังนั้น การกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์มีแนวโน้มจะส่งผลดีต่อภาพรวมพอร์ตการลงทุน
ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม 1-3% เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมาก