‘ไพบูลย์ นลินทรางกูร’ ซีอีโอ บล.ทิสโก้ กาง 5 ปัจจัย เชื่อตลาดหุ้นไทย 6-12 เดือนข้างหน้า “ยังเป็นขาขึ้น” แนะภาวะแบบนี้ลงทุนต้องระมัดระวังสูง หุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นหุ้น domestic plays ที่ปันผลสม่ำเสมอและมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น
วันที่ 20 กันยายน 2565 นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
หุ้นไทยจะไปต่อไหม ?
คนที่ไม่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดทุนโลกอย่างใกล้ชิด อาจไม่ทราบว่าปีนี้เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยมีผลงานที่ outperform เกือบทุกตลาดหุ้นในเอเชีย
ถึงแม้ SET Index ปรับลดลง 1% นับจากต้นปี แต่ต้องถือว่าเป็นผลงานที่เด่นมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ที่ลดลงเฉลี่ย 21% และตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศ Emerging Markets ที่ลดลง 24%
มีเพียง 10 ตลาดหุ้นที่มีผลงานดีกว่าไทยในปีนี้
เหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในขาลง มาจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ในสหรัฐและยุโรป ส่งผลให้ทั้งเฟดและ ECB ต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังถูกบั่นทอน จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งสุดในรอบ 20 ปี สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อกว่าคาด และนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน ที่ซ้ำเติมภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ยังมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย จากการที่เฟดอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงถึง 4.5-5.0% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2%
ภาวะ Inverted Yield Curve ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ รุ่น 2 ปี และ 10 ปี ที่นานติดต่อกันหลายเดือน คือสัญญาณที่ชี้ชัดถึงความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนั้น ยุโรปกำลังเผชิญกับวิกฤตพลังงานที่น่าเป็นห่วง รวมทั้งทิศทางเศรษฐกิจจีนยังประเมินได้ยาก ตราบใดที่ยังไม่ยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์
ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลให้นักลงทุนยังไม่รีบร้อนกลับเข้าตลาดหุ้น
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมตลาดหุ้นไทยยังยืนอยู่ได้ ทั้งที่เงินเฟ้อของไทยก็แตะระดับเกือบ 8% เงินบาทก็อ่อนสุดในรอบ 16 ปี และเศรษฐกิจไทยก็ขยายตัวแค่ 2.5% ในไตรมาสสอง
ปัจจัยสำคัญ นอกจากความมั่นคงโดยรวมของระบบเศรษฐกิจไทย คือผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและชะลอตัว และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว
กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนขยายตัวได้เกินคาดที่ 15% YoY ในไตรมาสสอง และเพิ่มขึ้นถึง 35% จากไตรมาสหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นกำไรรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และไม่ใช่แค่บริษัทในกลุ่มพลังงานเท่านั้นที่มีผลประกอบการที่ดี แต่เกือบทุกอุตสาหกรรมมีกำไรที่เติบโตขึ้น
การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น และสร้างจุดขายให้ตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกับกองทุนต่างชาติ นับจากต้นปี เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยแล้วถึง 158,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าซื้อรายปีที่สูงที่สุดใน 17 ปี
แล้วแนวโน้มตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป?
ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น บวกกับปัจจัยเสี่ยงจำนวนมากอย่างในปัจจุบัน คงยากที่จะเห็นตลาดหุ้นไหนก็ตามให้ผลตอบแทนที่สูงเหมือนในภาวะปกติ แต่ผมเชื่อว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้นในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า ด้วยเหตุผลดังนี้
1.แม้เฟดจะเริ่มดูดเงินออกจากระบบผ่านการทำ QT แต่คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี กว่าที่สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด กองทุนทั่วโลกยังจำเป็นต้องลงทุนในหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทน ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงเป็น safe haven ของนักลงทุนต่างชาติ
2.เงินบาทน่าจะใกล้ peak และมีโอกาสกลับมาแข็งค่า โดยได้อานิสงส์การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว บวกกับราคาน้ำมันดิบที่เริ่มเข้าสู่ขาลง ตลาดหุ้นไทยมักปรับตัวดีขึ้นในช่วงเงินบาทแข็งค่า
3.แนวโน้มเงินเฟ้อในประเทศยังไม่น่าห่วง เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และราคาพลังงานที่เริ่มลดลง ช่วยลดแรงกดดันราคาสินค้าได้ค่อนข้างมาก
4.เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นจาก 3.1% ในปีนี้ เป็น 4.1% ในปีหน้า ผลพวงจากภาคท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเติบโตเกินเท่าตัว สวนทางกับเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางชะลอตัวลง
5.ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย ยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ที่ดี และ valuations ของตลาดหุ้นไทยที่ 13.7 เท่า (P/E ปี 2023) ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 15 เท่า
แน่นอน ในภาวะแบบนี้ การลงทุนยังต้องทำด้วยความระมัดระวังสูง หุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นหุ้น domestic plays ที่ปันผลสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น