BJC กำไรไตรมาส 3 ปีนี้ 932 ล้าน เติบโต 153%

เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ กวาดกำไรไตรมาส 3/65 เติบโต 153.9% แตะ 932 ล้านบาท ส่วน 9 เดือนปีนี้มีกำไรเพิ่มขึ้น 53.5% แตะ 3,381 ล้านบาท แรงส่งยอดขายกลุ่มสินค้า บริการบรรจุภัณฑ์ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2565 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า

มีกำไรสุทธิ 932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 153.9% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นจากผลจากการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนการขาย การลงทุนด้านการส่งเสริมการขายที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาหมวดหมู่ และการจัดการสินค้าคงคลังที่ดี

โดยมีรายได้รวม 40,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,361 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากยอดขายและรายได้ค่าบริการในกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ อยู่ที่ 36,874 ล้านบาท

ในขณะที่รายได้อื่นรวม 3,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 978 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าเช่า จากอัตราการเช่าที่สูงขึ้นและการให้ส่วนลดเฉลี่ยแก่ผู้เช่าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่มีกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2565 อยู่ที่ 3,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,179 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53.54% ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีรายได้รวม 9 เดือนแรกปี 2565 อยู่ที่ 121,095 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,455 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์และกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น เนื่องจากการกลับมาฟื้นตัวของรายได้ค่าเช่า

โดยกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ รายงานยอดขายอยู่ที่ 6,247 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,743 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน การเติบโตของยอดขายที่แข็งแกร่ง ภายหลังจากการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อทั้งกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง รวมถึงราคาขายของบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น

กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค รายงานยอดขายอยู่ที่ 5,477 ล้านบาท ลดลง 481 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ถึงแม้ว่ากลุ่มธุรกิจอาหารและกลุ่มธุรกิจอุปโภคจะมียอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

รวมถึงกลุ่มธุรกิจต่างประเทศที่มียอดขายคงที่ แต่กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์มียอดขายลดลง เนื่องจากการย้ายการจัดการด้านโลจิสติกส์ของบิ๊กซีออกจากธุรกิจโลจิสติกส์กลับสู่กลุ่มสินค้าและบริการค้าปลีกสมัยใหม่ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ยอดขายรวมลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค รายงานยอดขายอยู่ที่ 2,329 ล้านบาท ลดลง 280 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยยอดขายที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์ลดลงจากยอดขายที่ลดลงของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับโควิดเมื่อเปรียบเทียบกับฐานที่สูงจากปีก่อน

รวมถึงระยะเวลาในการจัดส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นานขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การจัดหาเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกที่เข้มงวดขึ้น ในขณะที่ยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเทคนิคลดลงเล็กน้อยจากยอดขายโครงสร้างเหล็กชุบสังกะสีที่ลดลง

กลุ่มสินค้าและบริการค้าปลีกสมัยใหม่ รายงานยอดขายอยู่ที่ 26,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,174 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมาจากรายได้จากการขายสินค้า 23,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 344 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากยอดขายจากการขยายสาขาใหม่ซึ่งสามารถชดเชยกับยอดขายต่อสาขาเดิม ซึ่งติดลบอยู่ที่ -2.4% ในไตรมาส 3/2565 (ยอดขายต่อสาขาเดิมเมื่อไม่รวมยอดขายสินค้าบีทูบี อยู่ที่ -0.5% ในไตรมาส 3/2565)

ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากผลของฝนที่ตกหนักและน้ำท่วมในบางพื้นที่ของประเทศไทย และผลกระทบจากฐานเปรียบเทียบที่สูงจากการล็อกดาวน์ในปีก่อนซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายอาหารสด รวมถึงผลกระทบด้านลบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม

นอกจากนี้ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3/2565 โดยได้เปิดบิ๊กซี ฟู้ด เพลส จำนวน 1 สาขา, เอ็มเอ็ม ฟู้ด เซอร์วิส จำนวน 1 สาขา และบิ๊กซี มินิ จำนวน 25 สาขา ในประเทศไทย ปิดบิ๊กซี มินิ จำนวน 1 สาขา ในระหว่างไตรมาส

ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 มีจำนวนสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด 154 สาขา (รวมบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ 1 สาขา ในประเทศกัมพูชา) ร้านค้าขนาดซูเปอร์มาร์เก็ต 63 สาขา (บิ๊กซีมาร์เก็ต 38 สาขา บิ๊กซี ฟู้ด เพลส ซูเปอร์มาร์เก็ต 11 สาขา บิ๊กซีดีโป้ 11 สาขา และร้านค้าส่ง เอ็มเอ็ม ฟู้ด เซอร์วิส 3 สาขา) บิ๊กซี มินิ 1,456 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ 56 สาขา ในประเทศไทย บิ๊กซี มินิ 1 สาขา และร้านค้าสะดวกซื้อกีวี่ 18 สาขา ในประเทศกัมพูชา) และร้านขายยาเพรียว 146 สาขา