ประเทศจีนเปิดเมือง สิ่งที่นักลงทุนรอคอยจะเกิดขึ้นหรือไม่ในปี 2023 ?

จีน
คอลัมน์ สถานีลงทุน 
สวภพ ยนต์ศรี  
บลจ.ทิสโก้

ที่ผ่านมาแม้นโยบาย Zero COVID ของรัฐบาลจีนจะถือได้ว่า เป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จในการกดจำนวนผู้ติดเชื้อให้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจ และการกลายพันธุ์ของไวรัสที่แพร่ระบาดง่ายมากยิ่งขึ้นก็ส่งผลให้มาตรการ Lockdown อาจไม่สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้เหมือนในอดีต ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในจีนจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่สัญญาณการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการ Lockdown ในบ้างพื้นที่ยังคงเกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย

แต่นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันยังคงเชื่อว่า จีนจะทำการเปิดประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า แม้จะไม่ได้มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในช่วงประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างที่หลายฝ่ายคาดไว้ก่อนหน้านี้ก็ตาม ซึ่งทางสถาบันอย่าง Goldman Sachs ได้ออกมาคาดการณ์ว่า หากการเปิดเมืองเกิดขึ้นจริง ๆ มีโอกาสที่ผลตอบแทนของตลาดหุ้นจีนจะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างน้อยถึงราว 20% เลยทีเดียว

โดยนับตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายแรกในเดือนธันวาคมของปี 2019 จีนควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งผู้ติดเชื้อสูงสุดต่อประชากร 1 ล้านคน อยู่ที่เพียงแค่ราว 20 คนเท่านั้น ในขณะที่ประเทศขนาดใหญ่อื่น ๆ อย่างสหรัฐฯ และอังกฤษผู้ติดเชื้ออยู่ที่ราว 300 ถึง 400 คนต่อประชากร 1 ล้านคน และอัตราผู้เสียชีวิตในจีนก็อยู่ที่ราว 0.1% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 0.3%

สำหรับสาเหตุสำคัญที่จีนยังคงยึดมั่นกับนโยบาย Zero COVID ก็เป็นเพราะอัตราการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในประชากรอายุ 80 ปีขึ้นไป ซึ่งอยู่ที่ราว 51% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น โดยถือเป็นอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับในประเทศ สหรัฐฯ อังกฤษ และ ญี่ปุ่น ที่อัตราการฉีดวัคซีนของประชากรที่อายุ 80 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 90% ขึ้นไปทั้งหมด โดยความคืบหน้าของพัฒนาการในการนำวัคซีนและยารักษา COVID มาใช้ในจีน จึงน่าจะถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่า การเปิดเมืองในจีนจะมีขึ้นในอีกไม่ช้า ซึ่งที่ผ่านมาความคืบหน้าในประเด็นวัคซีนของจีนก็มีออกมาเรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่การอนุมัติวัคซีนชนิดสูดดมของบริษัท CanSino ที่มีการอนุมัติให้นำมาใช้ในหลายเมืองเพิ่มมากขึ้น

ส่วนวัคซีน mRNA ของจีนเองก็มีความคืบหน้าทั้งของบริษัท CSPC และ Abogen ที่คาดว่าจะมีการเปิดเผยผลการทดลองออกมาเร็ว ๆ นี้ รวมถึงวัคซีนของบริษัท Walvax Biotechnology ที่ได้มีการอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในประเทศอินโดนิเซียไปแล้ว ก็มีโอกาสเช่นกันที่จะถูกนำมาใช้ในประเทศจีน นอกจากนี้ ความคืบหน้าล่าสุดยังมีออกมาหลังการเดินทางมาเยือนประเทศจีนของนาย Olaf Scholz นายกรัฐมนตรีของประเทศเยอรมนี

โดยได้บรรลุข้อตกลงให้นำวัคซีนของบริษัท BioNTech มาใช้กับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน ด้านยารักษาก็มีรายงานข่าวว่าบริษัท Huahai ซึ่งเป็นคู่ค้ากับบริษัท Pfizer ได้เตรียมกำลังการผลิตยา Paxlovid ถึงจำนวน 60 ตัน และ ทำการตกลงกับบริษัท Ascletis ในการผลิตยา Ritonavir ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 530 ล้านเม็ด

ส่วนอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเปิดประเทศของจีนคือการอนุมัติเที่ยวบินระหว่างประเทศของหน่วยงานกำกับการบินระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2022 ถึง เดือนมีนาคม 2023 เพิ่มขึ้นจากเดิมในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 100% ถึงแม้จะคิดเป็นเพียง 3 – 5% ของในช่วงปี 2019 แต่ก็ถือว่ามีความคืบหน้าขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ การจัดงานแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติที่จะเกิดขึ้นในปี 2023 ทั้งการเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชียน เกมส์ ที่เมือง Hangzhou และการกลับมาจัดการแข่งขัน F1 ที่นครเซี่ยงไฮ้ โดยที่ยังไม่ได้มีการประกาศเลื่อนการแข่งขันหรือเปลี่ยนแปลงเจ้าภาพ ก็ถือว่าเป็นสัญญาณชัดเจนว่า จีนพร้อมที่จะผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ มากขึ้นในปีหน้า

แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องรอก็คือหลังจากนี้ การประกาศผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ อย่างชัดเจนมากขึ้นอย่างเป็นทางการของทางการจีนจะมีออกมาเมื่อไหร่ ซึ่งในปีหน้าช่วงเวลาสำคัญที่ต้องจับตามองคือ เดือนมีนาคม ที่จะเป็นการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน โดยอาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการประกาศผ่อนคลายนโยบาย Zero COVID หลังจากช่วงเวลาการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เร็วเกินไป และสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะช้าหรือเร็วจีนก็จะต้องเปิดประเทศและอยู่ร่วมกับ COVID ไม่ต่างจากชาติอื่น เพราะผลกระทบที่ตามมาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนนานเกินไปน่าจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนไม่อยากให้เกิดขึ้น และการประกาศเปิดเมืองของจีนที่นักลงทุนรอคอยก็จะต้องมาถึงในท้ายที่สุดอยู่ที่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดเท่านั้นเอง