ส่องยีลด์กองทุนหุ้นสหรัฐ ท่ามกลางวิกฤต “แบงก์ล้ม”

ส่องยีลด์กองทุนหุ้นสหรัฐ

สถานการณ์แบงก์ล้มในสหรัฐ สร้างผลสั่นสะเทือนทำให้ตลาดหุ้นผันผวนหนัก ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบมาถึงกองทุนหุ้นสหรัฐที่อาจจะมีเงินไหลออก แต่สถานการณ์จะเป็นอย่างไร กระทบระยะสั้นหรือระยะยาวนั้น

“ชญานี จึงมานนท์” นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า โดยภาพรวม กองทุนหุ้นสหรัฐยังไม่แสดงเม็ดเงินไหลออกที่มากอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของเดือน มี.ค. เงินไหลออกสุทธิจากกองทุนหุ้นสหรัฐราว 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเงินไหลออกในช่วงวันที่ 13 มี.ค. ที่ตลาดรับทราบข่าวเหตุการณ์สภาพคล่องธนาคารในสหรัฐ อย่างไรก็ดี เม็ดเงินไหลออกได้ชะลอลงหลังจากนั้น

“แม้ว่าช่วงตลาดปรับตัวลงแรง อาจทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานดี แต่ยังคงต้องระมัดระวังภาพรวมตลาดที่ยังมีความเสี่ยงเชิงลบ ซึ่งตลาดจะให้น้ำหนักไปที่ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และทิศทางดอกเบี้ย ที่จะส่งผลต่อการปรับประมาณการบริษัทในช่วงที่เหลือของปี”

ทั้งนี้ ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุนหุ้นสหรัฐตั้งแต่ต้นปีถึงล่าสุด (YTD) ณ 20 มี.ค. 2566 ยังเป็นบวกอยู่ที่ 5.7% เนื่องจากในเดือน ม.ค. กองทุนกลุ่มนี้มีผลตอบแทนค่อนข้างดี โดยกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด YTD นำโดยกองทุน SCBINNO(E) จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ ผลตอบแทนอยู่ที่ 18.41% ตามด้วยกองทุน KFINNO-I จาก บลจ.กรุงศรี ผลตอบแทน 17.36% กองทุน T-ES-GINNO-RMF จาก บลจ.อิสท์สปริง ผลตอบแทนอยู่ที่ 15.68% กองทุน MEGA10RMF จาก บลจ.ทาลิส ผลตอบแทน 14.56% และกองทุน BCAP-USND100 จาก บลจ.บางกอกแคปปิตอล ผลตอบแทน 13.45% (ดูตาราง)

ขณะที่ “สาห์รัช ชัฏสุวรรณ” รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ความกังวลกรณีธนาคารล้มในสหรัฐที่สร้างความกังวลให้นักลงทุนนั้นได้จบลงไปแล้ว รวมถึงกรณีธนาคารเครดิตสวิสก็มีการเข้ามาช่วยเหลือดูแล ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่ทำให้ตลาดบวกขึ้นได้ แต่ว่าก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ ฉะนั้น ตลาดยังมีโอกาสที่จะผันผวน เพราะยังไม่รู้ว่าหลังจากเครดิตสวิสแล้ว จะมีรายอื่นที่ตามมาอีกหรือไม่ ซึ่งยังไม่สามารถที่จะตอบได้แน่ชัด ความกังวลจึงยังคงอยู่

ดังนั้น ในภาพใหญ่แนะนำให้เลี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐไปก่อน หากนักลงทุนไม่อยากรับความเสี่ยง แต่หากนักลงทุนต้องการที่จะเข้าลงทุน ก็สามารถลงทุนได้ในกลุ่มที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเงิน หรือธนาคาร เช่น กลุ่มหุ้นเทคโนโลยี ก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ยังสนใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐช่วงนี้ เพราะในอนาคตมองว่ากลุ่มเทคโนโลยีน่าจะปรับตัวขึ้นได้ดี

“แนวโน้มดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับตัวลง จากที่ตลาดมองว่าหลังจากนี้ เฟดอาจจะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งต่อไป หรือไม่ปรับขึ้นแบบรุนแรง จะทำให้กลุ่มเทคโนโลยีได้ประโยชน์”

ฟาก “อภิชญา ไชยฤกษ์” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในระยะนี้ตลาดหุ้นสหรัฐยังค่อนข้างมีความผันผวนจากเหตุการณ์ Silicon Valley Bank ล้ม รวมถึงเครดิตสวิสที่มีประเด็นตามกันมา โดยจะเห็นว่าตลาดค่อนข้างผันผวน แต่ในทางกลับกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐก็ยังมีปัจจัยที่ทำให้ตลาดเป็นบวกขึ้นมาได้ในบางวัน เนื่องจากว่าได้เห็นมาตรการการช่วยเหลือที่รวดเร็วของเฟดและธนาคารกลางต่าง ๆ ที่ออกมาช่วยสร้างความมั่นใจว่าไม่น่าจะลุกลาม

รวมถึงประเด็นเงินเฟ้อที่กลับมาเป็นทิศทางขาลงอีกรอบหนึ่ง ทำให้ตลาดคลายความกังวลตรงนี้ไปได้ ก็จะเห็นว่าตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ยังประเมินว่ายังมีความผันผวนอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะเห็นภาพจากตัวดัชนี S&P500 อยู่ในลักษณะที่เป็นไซด์เวย์ดาวน์มาตั้งแต่ในช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา

“การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะยังเห็นภาพของตลาดที่มีความผันผวนอยู่ อย่างไรก็ดี การที่ตลาดมองว่าดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวลง หุ้นที่จะได้ประโยชน์คือหุ้นเติบโตที่มีพื้นฐานดีจะเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ”

สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐยังมีความผันผวนอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้น การลงทุนในหุ้นสหรัฐก็ต้องระมัดระวัง หมั่นติดตามข่าวสาร และลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้