กสิกรไทย คาด กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ครั้งสุดท้ายรอบประชุม 31 พ.ค.นี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาด กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.00% เป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในวัฏจักรนี้ ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง หลังตัวเลขเดือนเม.ย.ออกมาต่ำสุดในรอบ 16 เดือน ชี้เศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงสูงขึ้นจากเศรษฐกิจโลกชะลอ-ความไม่แน่นอนทางการเมือง

วันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 31 พ.ค. ที่จะถึงนี้ คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ที่ 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.00% ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้น

ขณะที่แรงกดดันจากแนวโน้มนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มลดลง เนื่องจากธนาคารกลางหลักอย่างเฟดเริ่มส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยในระยะอันใกล้

ทั้งนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเดือน เม.ย. 2566 ลดลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1-3% เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ส่งผลให้ กนง. อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ที่ 0.25%

โดยเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาลดลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือนที่ 2.67% YOY สะท้อนแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อ่อนแรงลง ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าคาดว่าจะยังคงมีทิศทางชะลอลงตามฐานที่สูงในปีก่อนหน้าประกอบกับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 90 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ดี จากการประชุม กนง. ครั้งก่อน กนง. ได้ส่งสัญญาณว่า กนง. อาจยังไม่หยุดเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยท่ามกลางความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่อาจคาอยู่ในระดับสูงจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง

โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ประกอบกับยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภครวมถึงแนวโน้มราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ในระยะข้างหน้า ส่งผลให้ กนง. มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อในการประชุม กนง. วันที่ 31 พ.ค. นี้ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้

อนึ่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) สำหรับอนาคต หากมีสถานการณ์ที่ส่งผลให้ กนง. จำเป็นต้องมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี ทิศทางเงินเฟ้อที่ชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและจากประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ

ขณะที่แรงกดดันจากแนวโน้มนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มลดลง เนื่องจากธนาคารกลางหลักอย่างเฟดเริ่มส่งสัญญาณอาจหยุดขึ้นดอกเบี้ยในระยะอันใกล้ ส่งผลให้ กนง. คงจะต้องให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะหยุดปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะอันใกล้

ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุม กนง. วันที่ 31 พ.ค. ที่จะถึงนี้อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นรอบนี้

ขณะที่ในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กนง. มีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยที่ระดับ 2.00% ไปตลอดปี 2566 หากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ตามที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี ทิศทางค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มที่จะยังคงเผชิญความผันผวนท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลก รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ

ทั้งนี้ ทิศทางค่าเงินบาทในระยะข้างหน้าคาดว่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะกลับมาเป็นบวกตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญความผันผวนต่อไปในระยะข้างหน้า โดยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลคงเป็นปัจจัยที่อาจกดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อาจได้รับปัจจัยหนุนหากเฟดเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อต่างจากที่ตลาดส่วนใหญ่คาด ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ความต้องการสกุลเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ท่ามกลางความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่มีมากขึ้นคงจะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าได้


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย