ศาลปกครองยกฟ้องกรมสรรพากร ยืนยันให้ ‘สาธิต รังคสิริ’ ชดใช้ 854 ล้าน

สาธิต รังคสิริ

ศาลปกครองยกฟ้องกรมสรรพากร ชี้ออกคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายให้ ‘สาธิต รังคสิริ’ อดีตอธิบดี ต้องชดใช้ 854 ล้านคดีร่วมทุจริตอนุมัติคืนภาษี 3,000 กว่าล้าน หลังก่อนหน้านี้ในส่วนคดีอาญา ศาลอาญาคดีทุจริตฯพิพากษาลงโทษคุกตลอดชีวิต

วันที่ 1 มิถุนายน 2566 มติชนรายงาน ที่ศาลปกครอง ศาลอ่านคำพิพากษาศาลปกครองกลางคดีหมายเลขดำที่ 1163/2561ที่ นายสาธิต รังคสิริ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ยื่นฟ้องกรมสรรพากร กับพวกรวม 2 คน ขอเพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากรที่ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีการทุจริตคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กลุ่มนิติบุคคล กรณีที่กรมสรรพากร กับพวกรวม 2 คน

มีคำสั่งที่ 650/2560 ลว. 20 ธันวาคม 2560 ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีที่กล่าวหาว่า ผู้ฟ้องคดีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตกรณีสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 คืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กลุ่มนิติบุคคลที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเท็จ เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ จึงนำคดีมาฟ้อง

โดยคำฟ้องระบุว่านายสาธิต รังคสิริ เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่กรมสรรพากร โดยอธิบดีกรมสรรพากร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ มีคำสั่งกรมสรรพากร ลงวันที่ 20 ธ.ค. 2560) ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

สืบเนื่องมาจากกระทรวงการคลังได้มีหนังสือ แจ้งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ชี้มูลความผิดผู้ฟ้องคดีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร และนาย ศ. เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จของสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง

โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ต่อมา คณะกรรมการได้เสนอรายงานผลการสอบสวน ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 พิจารณาแล้วเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการดังกล่าวที่มีมติให้ผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 1 ใน 3 ของจำนวนร้อยละ 80 จากมูลค่าความเสียหาย

คิดเป็นเงินจำนวน 854,943,021 บาท เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2560 และได้รายงานไปยังกระทรวงการคลังเพื่อตรวจสอบ จากนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีคำสั่งกรมสรรพากรให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยจึงได้มีหนังสืออุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 แต่ไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีจึงได้นำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อ 7 มิ.ย. 2561 ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากร

คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่งพิพาทเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผู้ฟ้องคดีอ้างถึงเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมายของขั้นตอนการออกคำสั่งดังกล่าว กรณีจึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณาก่อนว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ดังนี้

1.นางสาว ข. ประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไม่เป็นกลาง เนื่องจากนางสาว ข. เคยตรวจสอบการทำงานของ สท.กทม.22 และได้มีหนังสือรายงานความเห็นเป็นโทษเสนอต่อผู้ฟ้องคดี

เห็นว่า หนังสือของนางสาว ข. เป็นเพียงการรายงานให้ผู้ฟ้องคดีทราบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ สท.กทม.22 และได้เสนอความเห็นให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่านั้น ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้มีความเห็นสอดคล้องกับที่เสนอ กรณีจึงไม่มีเหตุความไม่เป็นกลาง

2.ประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช. มีนามสกุลเดียวกันจึงต้องห้ามตามหลักความเป็นกลาง เห็นว่า ปัญหาเรื่องความเป็นกลางต้องเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาทางปกครองกับคู่กรณีผู้จะถูกพิจารณา ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ด้วยกันเองจึงมิใช่กรณีต้องห้ามตามหลักความเป็นกลาง

3.ผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและอนุมัติคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งละเมิด เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้บังคับบัญชาจึงมีอำนาจและหน้าที่ในการตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

4.คำสั่งพิพาทไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงตามที่กฎหมายกำหนด เห็นว่า คำสั่งดังกล่าวได้จัดให้มีเหตุผลซึ่งมีข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจไว้โดยชอบแล้ว

5.คำสั่งพิพาทออกเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2560 จึงไม่ชอบเพราะเหตุอายุความในการออกคำสั่ง เห็นว่า คดีนี้เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ชี้มูลความผิดทางอาญา เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2559 อายุความสองปีจึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าว กรณีจึงไม่มีเหตุแห่งความไม่ชอบด้วยกฎหมาย

6.ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้กำกับคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดให้ทำการสอบจนยุติในทุกประเด็น เห็นว่า รายงานการสอบข้อเท็จจริงเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว

7.ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่เปิดเผยสำนวนการสอบสวนข้อเท็จจริง จึงไม่เป็นไปตามรูปแบบและขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด เห็นว่า เป็นการขอให้เปิดเผยหลังจากที่ได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว ผู้ฟ้องคดีย่อมต้องใช้สิทธิอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการฯ

กรณีมีปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปว่า ผู้ฟ้องคดีกระทำละเมิดต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า มีกลุ่มบริษัทจำนวน 25 บริษัท เป็นผู้ประกอบการส่งออกเศษโลหะและแร่โลหะที่ไม่ได้ประกอบกิจการจริงแต่ได้ยื่นขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ซึ่งนาย ศ. อนุมัติให้คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มบริษัทดังกล่าว ต่อมา เมื่อนางสาว ข. ได้มีหนังสือรายงานให้ผู้ฟ้องคดีรับทราบถึงความผิดปกติของการคืนภาษีของ สท.กทม.22 ผู้ฟ้องคดีในฐานะอธิบดีย่อมมีอำนาจบังคับบัญชาจึงต้องตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการคืนภาษีให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมาย โดยให้ระงับยับยั้งการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวได้ทันที

เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากถ้อยคำของพยานและผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาย ศ. ซึ่งให้ถ้อยคำว่า ผู้ฟ้องคดีได้ฝากรายชื่อกลุ่มบริษัทที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นเท็จ แม้จะเป็นการอ้างฝ่ายเดียว แต่จากพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ไม่ระงับยับยั้งให้ชะลอการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่นางสาว ข. ได้เสนอความเห็นก็ดี การที่ผู้ฟ้องคดีได้เข้าตรวจเยี่ยม สท.กทม.22

โดยให้แนวปฏิบัติกรณีการคืนภาษีให้ผู้ประกอบการรายใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องชะลอไว้เป็นเวลา 6 เดือนก็ดี และรวมถึงการที่กลุ่มบริษัทดังกล่าวได้โอนเงินจำนวน 179,869,250 บาท เพื่อเป็นค่าซื้อทองคำแท่งในชื่อของผู้ฟ้องคดีก็ดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่า ทองคำแท่งดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ผู้ฟ้องคดีได้มาโดยชอบจากทางทำมาหาได้ทางอื่น จึงฟังได้ว่าเป็นทองคำแท่งที่ได้รับมาเกี่ยวโยงกับเงินของกลุ่มบริษัทดังกล่าว