KTAM มองหุ้นไทยสิ้นปี 1,640 จุด แนะหุ้นอิงการฟื้นตัวเศรษฐกิจ-นโยบายรัฐบาลใหม่

KTAM

บลจ.กรุงไทย (KTAM) มองตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีมีโอกาสฟื้นตัวหลังสะท้อนความกังวลการเมือง-ปรับประมาณการกำไร บจ.ไปแล้ว ให้เป้าดัชนีสิ้นปี 2566 นี้ที่ระดับ 1,640 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นได้ประโยชน์การฟื้นตัวเศรษฐกิจ-นโยบายรัฐบาลใหม่

วันที่ 17 สิงหาคม 2566 นางแสงจันทร์ ลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายตราสารทุน สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งการฟื้นตัวที่สำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่อาจจะเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี และต่อเนื่องถึงปีหน้า ส่งผลดีต่อรายได้และการบริโภคในประเทศ

ส่วนเงินเฟ้อของประเทศไทยที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทาน (Supply Push) แต่ไม่ได้เป็นปัญหายืดเยื้อเหมือนประเทศอื่น ๆ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายในประเทศอาจจะไม่ได้สูงนัก คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับประมาณ 2.50% เพื่อปรับดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับ “สมดุล” และไม่ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยกับต่างประเทศสูงจนเกินไปนัก แต่ทว่าในภาพระยะยาว ประเทศไทยยังมีความท้าทายในด้านความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และประเด็นประชากรสูงวัย

ด้านดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา มีความผันผวนและให้ผลตอบแทนที่ติดลบและต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนดัชนีตลาดหุ้นสำคัญ ๆ ทั่วโลก เป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้น รวมถึงการประมาณการเศรษฐกิจไทยที่เติบโตน้อยกว่าคาด อันเป็นผลจากภาคการผลิตและภาคส่งออกของไทยถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวน้อยกว่าที่คาด ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยโลกที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ หากพิจารณาปัจจัยต่างประเทศจะเห็นว่าวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้สิ้นสุด ขณะที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงยังมีโอกาสค่อนข้างน้อย ขณะที่ปัจจัยเชิงบวกภายในประเทศไทยจะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวม คาดว่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น จากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ High Season ในไตรมาส 4 รวมถึงภาพการเมืองที่ชัดเจนขึ้นจะทำให้แนวโน้มตลาดไทยผันผวนลดลง โดยเฉพาะเมื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการชุมนุมประท้วงจะไม่รุนแรงเท่าในอดีตที่ผ่านมา และเมื่อมีแนวทางในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนโดยรวมได้ แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงบ้างจากผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ผ่านมา ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนและภาระดอกเบี้ยให้ภาคครัวเรือนที่มีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มของการเกิดภัยแล้งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและการบริโภคได้ด้วย

โดย บลจ.กรุงไทยคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรประมาณ 10-12% มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ระดับ 3.2-3.4% เป็นระดับที่ Valuation ไม่แพงนัก ซึ่งปัจจุบัน P/E อยู่ที่ประมาณ 15-16 เท่า โดยประเมิน SET Target ที่ 1,640 จุด ณ สิ้นปี 2566 อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยได้สะท้อนความกลัวและความกังวลของนักลงทุนในประเด็นความเสี่ยงจากการเมือง และการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไปพอประมาณแล้ว อย่างไรก็ตาม กรอบดัชนีล่างสุดประเมินไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 1,400 จุด

ขณะที่สัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำจากการขายออกมาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และคาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทที่น่าจะกลับมาแข็งค่าจากปัจจัยเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้น จึงคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติให้กลับเข้าตลาดตราสารทุนไทยได้

โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปี จะพิจารณาเลือกสรรหุ้นและอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค และภาคบริการภายในประเทศ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกประคองตัวได้ (ไม่เป็น Recession รุนแรง) และหุ้นที่ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง