ครม. ดึง “ออมสิน-ธ.ก.ส.” จัด 2,000 ล้าน ให้สินเชื่อดึงแรงงานคืนถิ่น

ออมสิน-ธ.ก.ส.

ครม.ไฟเขียวสินเชื่อดึงแรงงานอิสราเอลคืนถิ่น “ออมสิน-ธ.ก.ส.” แห่งละ 1,000 ล้าน ปล่อยกู้รายละ 150,000 บาท คิดดอกเบี้ยลดต้นลดดอก 1% ต่อปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 งวดแรก

วันที่ 31 ตุลาคม 2566 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิสราเอลที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรวมถึงแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานอยู่ในประเทศดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต หรือถูกจับเป็นตัวประกัน

โดยแรงงานไทยบางส่วนทยอยเดินทางกลับประเทศไทยก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้าง ในขณะที่บางส่วนยังไม่ตัดสินใจเดินทางกลับ เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ภาระหนี้สินที่เกิดจากการเดินทางไปทำงานยังประเทศอิสราเอล รวมถึงการเริ่มต้นประกอบอาชีพภายหลังจากเดินทางกลับมาประเทศไทย

ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 เห็นชอบโครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย (อิสราเอล) โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้

โครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย (อิสราเอล) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลชำระหนี้ที่กู้ยืมสำหรับการไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล และ/หรือเพื่อลงทุนประกอบอาชีพภายหลังจากเดินทางกลับมาประเทศไทย

โดยธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท (แห่งละ 1,000 ล้านบาท) ให้แก่แรงงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลที่ประกอบอาชีพเดิมคือค้าขายหรืออาชีพอิสระ (ขอสินเชื่อผ่านธนาคารออมสิน) หรือเป็นเกษตรกรหรือบุคคลในครัวเรือนเกษตรกร (ขอสินเชื่อผ่าน ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อไม่เกินรายละ 150,000 บาท คิดดอกเบี้ยลดต้นลดดอกในอัตราร้อยละ 1 ต่อปี (Effective Rate) ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 งวดแรก ระยะเวลาชำระคืนเงินงวดสูงสุดไม่เกิน 20 ปี ทั้งนี้ สามารถยื่นขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567

“กระทรวงการคลังคาดว่า โครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย (อิสราเอล) จะสามารถช่วยเหลือแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศอิสราเอลผ่านแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำได้อย่างเพียงพอ ซึ่งจะมีส่วนช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แรงงานไทยที่เดินทางกลับประเทศมีสภาพคล่องที่เพียงพอในการเริ่มต้นประกอบอาชีพหรือแบ่งเบาภาระหนี้สิน เพื่อบรรเทาและป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป”