ลดหย่อนภาษี “e-Refund” ช็อป 10,000-50,000 บาท ได้เงินคืนเท่าไหร่

e-Refund
อัพเดตล่าสุด 16 พ.ย. 2566 เวลา 13.45 น.

มาตรการ e-Refund ช็อปปิ้งกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท เช็กอัตราลดหย่อนภาษี ช็อปเท่าไหน ได้เงินคืนเท่าไหร่

รัฐบาลภายใต้การนำทัพของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เตรียมนำมาตรการภาษี “e-Refund” ลดหย่อนได้ไม่เกิน 50,000 บาทมาใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป ถือว่า “สูงสุด” นับตั้งแต่มีมาตรการลดหย่อนภาษีลักษณะนี้มาตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็น “ช้อปช่วยชาติ” หรือ “ช้อปดีมีคืน”

อย่างไรก็ดี อาจจะมีคำถามว่า ถ้าใช้สิทธิลดหย่อนเต็มเพดาน 50,000 บาท จะได้ลดภาษีเป็นวงเงินเท่าไหร่ หรือหากใช้ไม่ถึง 50,000 บาท จะได้ลดภาษีเป็นเงินเท่าไหร่

ทั้งนี้ จากการคำนวณแล้ว จะพบว่าหากผู้เสียภาษีใช้สิทธิลดหย่อนเต็มที่ 50,000 บาท หากเป็นผู้ที่เสียภาษีอยู่อัตราสูงสุดที่ 35% ก็จะได้เงินคืนภาษีสูงสุดถึง 17,500 บาทเลยทีเดียว แต่หากใช้สิทธิลดหย่อนแค่ 10,000 บาท ก็จะได้คืนภาษี 3,500 บาท

ขณะที่ผู้ที่เสียภาษีในอัตราต่ำสุดที่ 5% จะได้เงินคืนภาษีสูงสุด 2,500 บาท หากใช้สิทธิลดหย่อนเต็มเพดานที่ 50,000 บาท และจะได้เงินคืน 500 บาท หากในใช้สิทธิลดหย่อนเพียง 10,000 บาท (ดูตาราง)

e-Refund

สำหรับมาตรการปีนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า เป็นการให้กลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเลต หรือเป็นผู้ที่มีรายได้เกิน 70,000 บาท หรือมีเงินฝากเกิน 500,000 บาท ได้มีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย

โดยรัฐบาลจะดำเนินมาตรการ “e-Refund” ซึ่งประชาชนจะได้รับภาษีคืนจากการจับจ่ายสินค้าและบริการมูลค่ารวมไม่เกิน 50,000 บาท จากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี และเฉพาะที่ออกใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ซึ่งมาตรการนี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มาตรการนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม แต่จะให้ใช้สิทธิได้เป็นเวลาเท่าไหร่นั้น ต้องรอเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อน โดยที่ผ่านมามีการพิจารณาช่วงเวลาตั้งแต่ 1-2 เดือน ซึ่งต้องยอมรับว่ามาตรการนี้ต้องการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่สามารถกำหนดระยะเวลานาน ๆ ได้

นอกจากนี้ อยู่ระหว่างหารือร่วมกับกรมสรรพากร เพื่อกำหนดประเภทสินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการนี้ได้ หรือเรียกว่า Negative List

“การซื้อสินค้าและบริการที่จะได้สิทธิ e-Refund ต้องใช้ e-Receipt เท่านั้น เพื่อเร่งให้คนใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เร่งร้านค้าให้เข้าสู่ระบบ e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสร้างฐานภาษี ส่วนสินค้าและบริการอะไรบ้างนั้น จะมีการประชุมหาข้อสรุปกันอีก และต้องเสนอให้ ครม.อนุมัติก่อน” นายจุลพันธ์กล่าว