โลกป่วน “ทอง” ขาขึ้นปี’67 แบงก์ชาติทั่วโลกแห่ตุน-ลุ้นราคาทำสถิติใหม่

“ฮั่วเซ่งเฮง”ผู้ค้าทองเบอร์ 1 ของไทย วิเคราะห์ทิศทางราคาทองคำปีมังกร “ขาขึ้น” ต่อ ให้ปีหน้ากรอบ 1,850-2,150 เหรียญสหรัฐ มีโอกาสทำ All time High รับอานิสงส์เฟดจ่อลดดอกเบี้ย ขณะที่สงคราม-ความขัดแย้งการเมืองโลกสร้างความผันผวน ส่งผลราคาทองอยู่ในทิศทางขาขึ้น จับตาปัจจัยปีหน้าเลือกตั้งไต้หวัน จุดชนวนความขัดแย้งรอบใหม่ ขณะที่แบงก์ชาติทั่วโลกเดินหน้าตุนทองคำ ส่วนทองในประเทศปีหน้าเจอประเด็น “บาทแข็ง” กรอบราคาที่ 33,200-34,800 บาท “ฮั่วเซ่งเฮง” วางแผนยกระดับตลาดค้าทองของไทยสู่สากล

นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2567 แนวโน้มราคาทองคำจะยังคงเป็น “ขาขึ้น” หลังจากปี 2566 ที่ผ่านมา ราคาทองโลก (gold spot) บวกขึ้นมาประมาณ 8% ในขณะที่ทองในประเทศบวกประมาณ 10% จากปัจจัยเงินบาทที่อ่อนค่า รวมถึงเรื่องของสงคราม ที่นอกเหนือจากสงครามระหว่างรัสเชียกับยูเครนแล้ว ยังมีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสอีก

“สถานการณ์สงครามที่เหมือนกับจะยืดเยื้อ จึงทำให้คนมอง นอกจากปัจจัยหลักด้านการเงินที่มองกันอยู่แล้วว่านโยบายการที่พยายามจะขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐในช่วงปีก่อนหน้า เพื่อสกัดเงินเฟ้อกำลังอยู่ในจุดที่จะไปได้ดี และมีแนวโน้มว่าวงจรการขึ้นดอกเบี้ยกำลังจะยุติ และกำลังจะเป็นดอกเบี้ยขาลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกกับราคาทอง พอมีเรื่องของสงครามมาผสม ก็เลยทำให้ราคาทองกระโดดขึ้นไปได้เร็ว ปีนี้จึงทำให้เกิดราคาทองที่เป็น All Time High”

ธนรัชต์ พสวงศ์
ธนรัชต์ พสวงศ์

เปิดปัจจัยหนุนราคาทอง

สำหรับปัจจัยที่หนุนราคาทองคำในปีหน้า ได้แก่ ปัจจัยบวกจากที่ธนาคารกลางต่าง ๆ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ มีแนวโน้มที่จะยุติดอกเบี้ยขาขึ้น จากภาวะเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลง

รวมถึงปัจจัยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งต้องติดตาม นอกเหนือจากเรื่องของอิสราเอลกับฮามาส เนื่องจากช่วงเดือน ม.ค. 2567 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวัน ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ชาวโลกจับตาดูอยู่ เพราะเป็นการแข่งขันกันของพรรค DPP ฝั่งที่เป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งน่าจะเป็นฝั่งที่ตะวันตกหนุนหลัง อีกฝั่งเป็นพรรคเก่าของก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นฝั่งที่จีนสนับสนุน ดังนั้นหากผลออกมาฝั่งที่ซัพพอร์ตสังคมประชาธิปไตยชนะ ก็ต้องจับตาดูบทบาทของจีนว่าจะเข้มข้นขึ้นอย่างไร

ขณะที่ไต้หวัน ขึ้นชื่อเรื่องของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ที่ทั่วโลกกำลังต้องการ ดังนั้นจึงเป็นจุดที่ต้องจับตาว่าหากเกิดความไม่สงบขึ้น มีความขัดแย้งระหว่างประเทศตะวันตกกับจีน ก็อาจจะทำให้ราคาทองมีปัจจัยบวก

นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ทั่วโลกพยายามจะลดบทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐ เห็นได้ชัดในหลายปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนของเงินสำรองระหว่างประเทศที่เป็นดอลลาร์อยู่ในจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี นำโดยคู่ขัดแย้งตลอดกาลอย่างรัสเซียกับจีน ส่วนนี้ก็เป็นผลที่ทำให้ราคาทองเป็นบวก จากปัจจัยที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง

จีนผู้ซื้อรายใหญ่อ่อนแรง

นายธนรัชต์กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยที่ต้องติดตามและระมัดระวัง คือ “เศรษฐกิจจีน” ซึ่งปีหน้าอาจจะไม่ดีเหมือนปีนี้ ทำให้ความต้องการทองคำ (ดีมานด์) จากฝั่งจีนอาจจะชะลอ เพราะนอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่กองทุน ETF ทองคำ ที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีการลงทุนในทองคำลดลง โดยหลังจากเกิดสงครามอิสราเอลกับฮามาส พบว่ายอดถือครองทองคำอยู่ที่ประมาณ 800 ตัน ใกล้ ๆ กับช่วงก่อนโควิด ค่อย ๆ ทยอยปรับลดลงมา ซึ่งสะท้อนถึงการมองว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะเริ่มกลับมาเข้าสู่ภาวะที่ปกติขึ้น

“ปีหน้ายังต้องติดตามเรื่องตัวเลขต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อสหรัฐ ว่ามีการควบคุมได้ดีแค่ไหน อัตราการว่างงาน ตัวเลขแรงงาน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อนโยบายทางการเงินที่จะส่งผลกับราคาทอง หากต้นทุนเงินเฟ้อยังสูงอยู่ โอกาสที่จะลดดอกเบี้ยเร็วก็น้อยลง แต่ตลาดคาดการณ์ว่าปีหน้ามีโอกาสที่สหรัฐจะลดดอกเบี้ยได้ 4-5 ครั้ง เริ่มต้นในเดือน พ.ค.เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ทองคำมีปัจจัยบวกต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ที่ปกติเป็นช่วงเวลาที่ดีของทองอยู่แล้ว และมีช่วงซื้อในช่วงตรุษจีน ซึ่งต้องมาติดตามในไตรมาส 2 ว่าถ้าลดดอกเบี้ยแล้ว ทองจะได้รับผลบวกอย่างไร”

มองโอกาส All Time High

ปีหน้าราคาทองจะมีโอกาสทำ All Time High อีกหรือไม่ นายธนรัชต์ กล่าวว่า ฮั่วเซ่งเฮงให้กรอบปีหน้าประมาณ 1,850-2,150 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ไม่ได้ต่างจากปีนี้ที่ราคา All Time High ที่ 2,144 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่วนทองแท่งในประเทศให้กรอบราคาที่ประมาณ 33,200-34,800 บาทต่อบาททองคำ โดยรอบที่ผ่านมาราคาทองปรับขึ้นไปได้เร็วและแรง สาเหตุมาจากเรื่องสงครามอิสราเอลกับฮามาสเป็นหลัก ถ้าสงครามสงบลง คิดว่าราคาทองน่าจะปรับตัวลง แต่ปัจจัยพื้นฐานเดิมที่ดูอยู่ คือเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางใหญ่ ๆ ซึ่งทุกคนก็โฟกัสไปที่เฟด

“มีแนวโน้มว่าเฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้วจากจุดนี้ นอกจากจะอะไรเซอร์ไพรส์ตลาดจริง ๆ มุมมองปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐจะ Soft Landing เพราะว่าดูเหมือนอัตราเงินเฟ้อค่อย ๆ ถูกควบคุมได้ และกลับมาสู่วัฏจักรการปรับดอกเบี้ยขาลง ซึ่งก็คิดว่าจะเป็นปัจจัยบวกกับราคาทอง แต่ก็ไม่ได้มาก”

นายธนรัชต์กล่าวว่า ปีหน้ายังมองว่าราคาทองเป็นกรอบขาขึ้นอยู่ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้ขึ้นมากเท่าปีนี้ เพราะปีนี้มีปัจจัยสงครามเข้ามาผลักดัน แล้วก็ปรับย่อลงมาได้เร็ว โดยกรอบบนที่ให้ไว้ที่ 2,150 เหรียญ จะไปถึงหรือไม่ ก็ขึ้นกับปัจจัยที่เข้ามาระหว่างปีด้วย ปัญหาระหว่างประเทศมหาอำนาจกับนโยบายที่แข็งกร้าวต่อกันเป็นสิ่งที่ต้องดู แต่ล่าสุดที่เห็นประธานาธิบดีของสองฝั่งจีน-สหรัฐพบกัน ทิศทางก็ดูเหมือนอาจจะไปในทางที่สงบขึ้น ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไม่สามารถคาดเดาได้

“ข่าวร้าย-ผันผวน” ดันราคาวิ่ง

เมื่อถามว่าทองคำชอบข่าวร้าย เพราะถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยทำให้ราคาวิ่ง นายธนรัชต์กล่าวว่า ทองชอบความผันผวน จะเป็นข่าวดี ข่าวร้ายก็ได้ แต่ถ้าผันผวนราคาก็จะวิ่ง แต่ถ้าข่าวเงียบ หรือไม่มีปัจจัยที่มากระตุ้น ก็ทำให้ตลาดนิ่ง

นายธนรัชต์กล่าวว่า ปีหน้าเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้น เพราะว่าปีนี้อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก แต่คิดว่าปีหน้าหากดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มทยอยปรับลดลง ก็จะทำให้เงินบาทน่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่ก็ต้องดูปัจจัยในภูมิภาคด้วย เพราะไทยพึ่งพาการส่งออกกับเพื่อนบ้านด้วย แต่ก็หวังว่าเรื่องท่องเที่ยวจะดีขึ้น นักลงทุนเริ่มกลับเข้ามา ซึ่งเงินทุนที่กลับเข้ามาก็จะช่วยให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นจากปีนี้ได้

“จากที่ราคาทองคำทำสถิติ All Time High ทำให้ช่วงครึ่งปีหลังวอลุ่มการซื้อขายเริ่มชะลอ เพราะทุกคนแห่มาขายหมดแล้ว เนื่องจากได้กำไรจากทั้งราคา Gold Spot ที่ขึ้น และค่าเงินบาทอ่อน ทำให้ทองแท่งในประเทศสูงสุด 34,400 บาท และยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้นักลงทุนก็ยังไม่ได้เข้าซื้อขายในช่วงนี้ จะกลับเข้ามาซื้อใหม่ ราคาต้นทุนอาจจะยังสูงอยู่ จึงจะรอให้ย่อลงมาอีก ทั้งมองว่าหากปีหน้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ก็อาจจะซื้อได้ถูกลงในปีหน้า”

ศก.ไม่ดีซื้อทองรูปพรรณลดลง

สำหรับพฤติกรรมการซื้อขายทองคำ นายธนรัชต์กล่าวว่า ถ้ากลุ่มที่ลงทุน พฤติกรรมเปลี่ยนไปพักหนึ่งแล้ว ปัจจุบันการเทรดผ่านมือถือยังเป็นเทรนด์อยู่ เพราะแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ หรือระบบการเชื่อมต่อธนาคาร การใช้โมบายแบงกิ้ง ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนมากขึ้น

ส่วนทองรูปพรรณ การมาซื้อที่ร้านก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ อย่างฮั่วเซ่งเฮง เราก็เพิ่งไปเปิดสาขาที่สีลม คอมเพล็กซ์ เพราะเชื่อว่าคนไทยก็ยังอยากเข้ามาพูดคุยหรือดูผลิตภัณฑ์ จึงมีจุดให้บริการลูกค้ามากขึ้น เพียงแต่ปีนี้สภาพเศรษฐกิจอาจจะไม่ได้เอื้ออำนวยมาก ในขณะที่ทองก็ราคาแพงขึ้น

“ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อทองในฝั่งรูปพรรณก็จะลดลง เพราะว่าเป็นของฟุ่มเฟือยและเป็นเครื่องประดับมากกว่าการลงทุน จะซื้อให้เป็นของขวัญก็จะดูชิ้นเล็กไป แต่ถ้าจะซื้อชิ้นใหญ่ก็จะใช้เงินสูง”

โลกเปลี่ยน-ร้านทองต้องปรับตัว

อย่างไรก็ดี นายธนรัชต์ยอมรับว่า ร้านทองตู้แดงหายไปค่อนข้างเยอะ สาเหตุหนึ่งมาจากการซื้อขายทองยากขึ้น และอยู่ในรูปแบบการให้บริการที่เปลี่ยนไป ซึ่งคิดว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ต่างจากธนาคารในต่างประเทศ ที่บริหารไม่ดีก็จะถูกควบรวมไปเรื่อย ๆ จนเหลือเฉพาะผู้เล่นที่เป็นรายใหญ่ หรือผู้เล่นที่พยายามปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย

“ก็เห็นใจผู้ประกอบการ ที่อยู่ ๆ ต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจ ก็ไม่ใช่เรื่องที่สนุก แต่ผมคิดว่าวิถีมันเปลี่ยน คิดง่าย ๆ ว่าตอนนี้การให้บริการซื้อขายทองเพื่อการลงทุน จากเดิมอยู่ตามร้านทองใกล้บ้าน แต่ทุกวันนี้เป็นออนไลน์หมด ก็เปลี่ยนแรงซื้อ ดังนั้นธุรกรรมการซื้อขายส่วนหนึ่งก็หายไป ผู้ประกอบการก็ต้องปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนไป”

“ฮั่วเซ่งเฮง” ยกระดับธุรกิจ

นายธนรัชต์กล่าวว่า สำหรับทิศทางการขยายธุรกิจของกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง จะขยายธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับทองคำ ที่มองว่าจะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น รวมถึงในส่วนของโรงสกัดทองที่ทำอยู่แล้ว แต่ก็จะทำให้เป็นมาตรฐานสากลขึ้น เพื่อจะรองรับในการขยายตลาดในภูมิภาค ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย เป็นการรองรับบริการกับผู้ค้าทองอื่น ๆ และในประเทศอื่นด้วย

“เราพยายามจะสร้างสรรค์สิ่งที่เราคิดว่าประกอบร่างแล้วเป็นความมั่นคงในเรื่องของทองคำอย่างครบวงจรสำหรับนักลงทุน ซึ่งจะเป็นผู้ประกอบการค้าทองที่เป็นคู่ค้ากับเรา ซึ่งก็มีหลายมุมที่มองและพยายามจะสร้างพื้นฐานให้แข็งแรง”

โดยตลาดรีเทลอาจจะเป็นที่รู้จักในประเทศไทย แต่ในส่วนที่เป็นสากลก็มีคู่ค้าที่ทำการค้าด้วยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงอยากจะสร้างพื้นฐานที่ดีไว้ให้กับประเทศไทย เพราะว่าปีที่ผ่านมา ทางสภาทองคำโลก (World Gold Council) ก็เริ่มเข้ามาที่ประเทศไทย เพื่อที่จะสนับสนุนและพัฒนาการลงทุนทองในภูมิภาคนี้ ภูมิภาคนี้ถูกมองว่าเป็นจุดดีต่อธุรกิจค้าทอง สภาทองคำโลกจึงพยายามสนับสนุน ทำให้ผู้ประกอบการค้าทองต่างชาติเห็นถึงศักยภาพในภูมิภาคนี้ เราจึงต้องพยายามสร้างตัวเองให้เป็นมาตรฐานสากลที่มากขึ้นและเป็นที่ยอมรับกับผู้ค้า

แบงก์ชาติทั่วโลกแห่ตุนทอง

ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สภาทองคำโลก (WGC) เปิดเผยรายงานแนวโน้มตลาดทองคำปี 2567 (Gold Outlook 2024) ระบุว่า จากที่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกอาจชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือซอฟต์แลนดิ้ง โดยมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น 65% แต่ก็ยังมีความเป็นไปว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญภาวะถดถอย ประกอบกับสถานการณ์ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า ซึ่งรวมถึงสหรัฐ สหภาพยุโรป (อียู) อินเดีย และไต้หวัน จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อลดความเสี่ยงเช่นกัน

สภาทองคำโลกระบุว่า ธนาคารกลางทั่วโลกได้เข้าซื้อทองคำเพิ่มในระบบทุนสำรองในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และซื้อต่อเนื่องในปี 2566 ทั้งคาดว่าจะยังเดินหน้าซื้อทองคำต่อไปในปี 2567 โดยผลสำรวจล่าสุดของ WGC พบว่า ธนาคารกลางทั่วโลกจะซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรองอีก 24% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า