เมืองไทยประกันชีวิต ต่อจิ๊กซอว์ Global Company

สาระ ล่ำซำ

“ปีนี้ เมืองไทยประกันชีวิตจะครบรอบ 73 ปี ในวันที่ 6 เม.ย. 2567 และผมทำงานอยู่กับบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตมาแล้วทั้งหมด 28 ปี เรียกว่าเติบโตมากับเมืองไทยประกันชีวิต หรือใช้คำว่าอยู่ในสายเลือดคนประกันชีวิตมาโดยตลอด สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มีความท้าทายอยู่หลายด้าน แต่เราต้องไม่ลืมว่าเราเป็นบริษัทประกันชีวิต เพราะฉะนั้นต้องมีความมั่นคง แข็งแรง และยั่งยืน ซึ่งเป็นด่านแรกที่คนซื้อประกันจะมีความเชื่อมั่นในระยะยาว”

คำกล่าวของ “สาระ ล่ำซำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ในงานแถลงข่าวประจำปี 2567 เมื่อเร็ว ๆ นี้

เป้าหมาย Global Company

“สาระ” กล่าวว่า ตั้งแต่ตัดสินใจรีแบรนดิ้งบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อปี 2547 ตนมีความฝันที่จะทำให้ “สีบานเย็น” บานสะพรั่งไปทั่วประเทศไทยและทั่วภูมิภาคอาเซียน และยิ่งใหญ่กว่านั้น คือบานสะพรั่งไปทั่วภูมิภาคเอเชีย และสุดท้ายอยากจะเป็นบริษัทระดับโลก (Global Company) เพื่อดูแลคนทั้งโลกได้

“วันนี้ เมืองไทยประกันชีวิต มีพอร์ตสินทรัพย์รวมกว่า 6.3 แสนล้านบาท สัดส่วน 95% คือ สินทรัพย์ลงทุน”

ปัจจุบันบริษัทเป็นหนึ่งใน Regional Company ที่มีการขยายธุรกิจไปแล้วใน 4 ประเทศ คือ กัมพูชา, สปป.ลาว, เวียดนาม และเมียนมา โดยตอนนี้ถือหุ้นในบริษัทกัมพูชา 2 แห่ง คือ 1.Sovannaphum Life Assurance สัดส่วน 49% และ Dara Insurance สัดส่วน 25% ครอบคลุมธุรกิจประกันชีวิตและวินาศภัย

และร่วมทุนในบริษัท สปป.ลาว 1 แห่ง คือ ST-Muang Thai Insurance ถือหุ้น 22.5% ประกอบธุรกิจได้ทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย และถือหุ้นในบริษัทเวียดนาม 1 แห่ง คือ MB Ageas Life สัดส่วน 10% รวมทั้งมีการจัดตั้งสํานักงานผู้แทนในเมียนมา

ADVERTISMENT

กิจการอาเซียนเติบโตดี

ปัจจุบันเมืองไทยประกันชีวิต มีพอร์ตลงทุนต่างประเทศประมาณ 600 ล้านบาท ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา และปีที่แล้ว บริษัทใน สปป.ลาว มีเบี้ยปีแรกเติบโต 38% เป็นอันดับ 1 ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 62% แม้โดนผลกระทบวิกฤตค่าเงินกีบอ่อนค่าหนัก ปีนี้ตั้งเป้าเบี้ยรับรวมจะโต 30% เบี้ยใหม่โต 25% ซึ่งปี 2568 ตามกฎหมายต้องแยกใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตกับธุรกิจประกันวินาศภัยออกจากกัน

ดังนั้นปีนี้จะเป็นปีที่ต้องดำเนินการเรื่องนี้ให้จบ ขณะที่แผนทำตลาดคงจะขยายงานไปต่างจังหวัดเพิ่มเติม จากที่กระจุกตัวอยู่ในเวียงจันทน์

ส่วนกัมพูชา ปีที่แล้วมีเบี้ยรับรวมโต 27% มีกำไรเติบโตมากกว่า 40% อาจลดลงเล็กน้อยหลังโควิดที่เศรษฐกิจยังไม่รีคัฟเวอร์ นักลงทุนจีนชะลอลงทุน และแบงก์ปล่อยกู้น้อยลง ซึ่งปีนี้จะขยายงานช่องทางตัวแทนมากขึ้น จากที่โตผ่านแบงก์แอสชัวรันซ์ ตั้งเป้าเบี้ยใหม่จะโต 25%

ขณะที่เวียดนาม ปีที่แล้วมีกำไรเติบโต 50% มีมาร์เก็ตแชร์เป็นเบอร์ 2 ของพอร์ตแบงก์แอสชัวรันซ์ ซึ่งทุกปียอดขายโตดี ยกเว้นปีที่แล้วจนถึงไตรมาส 1/2567 ซึ่งโดนกดดันจากเกณฑ์ Market Conduct ของหน่วยงานกำกับ คาดว่าจะเริ่มคิกออฟได้ช่วงไตรมาส 2 จึงตั้งเป้าเบี้ยใหม่โต 30%

ปีนี้ขยายธุรกิจบุก “อินโดฯ”

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาขยายการลงทุนเพิ่มเติมในอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งมีการพูดคุยหาโอกาสอยู่ตลอดเวลากับหลายบริษัทที่สนใจหาผู้ร่วมทุนเพิ่ม แต่ยังไม่เจอคู่ที่แมตชิ่งกันได้ นอกจากนี้ยังมีแผนศึกษาการลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) เพิ่มอีกด้วยสำหรับแผนระยะกลางถึงยาว

สำหรับการลงทุนในอินโดนีเซีย คาดว่าปีนี้จะมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นประเทศที่ธุรกิจประกันชีวิตค่อนข้างเติบโตไว ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ที่สุดตามข้อบังคับ

อย่างไรก็ดี การทำธุรกิจในอินโดฯยังมีความท้าทาย เพราะในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า จะมีกฎระเบียบค่อนข้างเข้มงวดขึ้น อาทิ การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital : RBC) และเงินทุนจดทะเบียนของบริษัทขั้นต่ำจาก 10 ล้านเหรียญ ต้องเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านเหรียญ ในระยะเวลา 5 ปี เป็นต้น

ในไทยตั้งเป้าเบี้ยใหม่โต 20%

“สาระ” กล่าวต่อว่า ในส่วนธุรกิจประเทศไทย ปีนี้ตั้งเป้าเบี้ยใหม่จะเติบโต 20% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) เบี้ยรับรวมโตใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม จากปีที่แล้วบริษัทมีเบี้ยรับรวมกว่า 7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปี 2565

โดยมีแผนจะขยายพอร์ตประกันชีวิต (Life Protection) รวมกับพอร์ตประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health & Critical Illness) ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 70% จากปีที่แล้วอยู่ที่ระดับกว่า 60% ของพอร์ตโฟลิโอ ส่วนที่เหลือมาจากพอร์ตประกันสะสมทรัพย์ ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิตลิงก์) และประกันบำนาญ

“เราพยายามมุ่งขายประกันโดยใช้เรื่องไลฟ์โพรเท็กชั่นเป็นตัวนำ ทั้งผ่านช่องทางตัวแทนและธนาคาร ปีนี้จะให้น้ำหนักทำแบบประกัน ทุนชีวิตตั้งแต่หลักแสนบาทไปสู่ระดับหลักร้อยล้านบาท และมุ่งสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกเซ็กเมนต์ (Democratize Insurance) ทั้งช่วงอายุและฐานรายได้ ซึ่งตอนนี้แบบประกันหลัก ๆ ขยายอายุความคุ้มครองได้ถึง 90 ปี ต่ออายุต่อเนื่องถึง 99 ปี”

รับมือ “Yield Curve” ขาลง

“สาระ” กล่าวอีกว่า สิ่งที่ให้ความสำคัญมาก คือเรื่องความยั่งยืน ซึ่งมาตรวัดที่ใช้ดูอยู่คือ ผลรวมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ (New Business Value : NBV) เพื่อจะสอดคล้องไปกับมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS17 ที่จะเริ่มมีผลบังคับปี 2568 ซึ่งจะใช้ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี หากขายแบบประกันตลอดอายุสัญญาแล้วมีมูลค่าติดลบ จะต้องบันทึกในงบการเงินเป็นขาดทุนทันที จึงต้องระมัดระวังมาก

“ช่วงก่อนหน้านี้อาจจะเห็นภาคธุรกิจมีเบี้ยลดลง คนจะเข้าใจว่ามาจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วมาจากโครงสร้างแบบประกันที่เปลี่ยนไป จากขายประกันสะสมทรัพย์ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องตรึงผลตอบแทนระยะยาวกับพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 10 ปีขึ้นไป แต่ช่วงหลังมานี้จะเห็นเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ที่ปรับตัวลงตลอดเวลา ดังนั้นหากยีลด์ต่ำมากและไม่สามารถแมตชิ่งกับการลงทุนได้ดีพอ การทำธุรกิจก็จะไม่ยั่งยืน”

ทั้งนี้ บริษัทจะมุ่งไปสู่การขายแบบประกันคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ ซึ่งไม่อ่อนไหวต่อภาวะดอกเบี้ยและเป็นแบบพื้นฐานของการประกันชีวิต เพียงแต่จะมีขนาดเบี้ยเล็กกว่ากันเป็น 10 เท่า แม้ว่าคนจะสนใจซื้อประกันสุขภาพจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด รวมทั้งคนหันมาสนใจซื้อประกันคุ้มครองชีวิตและวางแผนเรื่องมรดกมากขึ้นก็ตาม ส่วนแบบประกันยูนิตลิงก์ที่มีขนาดเบี้ยใหญ่พอ ๆ กับประกันสะสมทรัพย์ ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ เพียงแต่ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดทุนที่ผันผวนหนัก

ปรับตัวให้ทันโลก

โดยพยายามยึดหลักการ มองในมิติ Outside-in ปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงในทุกแฟกเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ สังคม กฎเกณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งความพึงพอใจของผู้บริโภค ตามโลกใหม่ในวันนี้ที่มีความไดนามิก เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ยึดหลักคนประกัน มองแบบ Inside-out มาตลอดชีวิต โดยปีที่ผ่านมา บริษัทมีการพัฒนาโปรดักต์ เซอร์วิส และการใช้เทคโนโลยีในทุกกระบวนการ และการใช้ฐานดาต้าวิเคราะห์ปรับแต่งแบบประกันใหม่ตลอดเวลาให้ตอบไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวบุคคลได้

“วันนี้เป็นเรื่องของช่องว่างระหว่างวัย (Gap Generation) ซึ่งผมมองว่ามีความหลากหลายเป็นเรื่องดี เพราะว่าโลกใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เราต้องการคนที่มีประสบการณ์และคนเจนใหม่เข้ามาอยู่ร่วมกัน สามารถจะแชริ่งกันได้ ช่วยกันโค้ชได้ ผมว่านั่นคือสิ่งที่ผมอยากให้เป็น ‘วัฒนธรรมองค์กร’ ของเมืองไทยประกันชีวิตต่อจากนี้” ซีอีโอเมืองไทยประกันชีวิตกล่าว