MAGURO เคาะราคาไอพีโอ 15.90 บาท จองซื้อ 28-30 พ.ค.นี้ จ่อคิวเข้าเทรด 5 มิ.ย. 67

MAGURO กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละราคา 15.90 บาท เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 28-30 พ.ค.นี้ พร้อมเข้าเทรด 5 มิ.ย. 67 ในตลาดหลักทรัพย์ mai “บล. ฟินันเซีย ไซรัส” ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย มั่นใจนักลงทุนตอบรับดีเยี่ยม

วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ เปิดเผยว่า บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอ (IPO) จำนวนไม่เกิน 34.06 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 21.46 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 17.03 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้

และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte Ltd จำนวน 12.60 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 10.00 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ที่ราคาหุ้นละ 15.90 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคมนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (AGRO) ในวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “MAGURO”

“MAGURO ถือเป็นธุรกิจร้านอาหารที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งการกำหนดราคา IPO ที่ 15.90 บาทเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งมี Brand Portfolio ที่โดดเด่น เริ่มต้นจากแบรนด์ “MAGURO” (มากุโระ) ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของลูกค้ามายาวนานกว่า 9 ปี”

โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถพัฒนาและสร้างแบรนด์ใหม่ได้อีก 2 แบรนด์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ไม่ว่าจะเป็น “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ตเตอร์) ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมี่ยม และ “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) ร้านชาบูและสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งร้านอาหารทั้ง 3 แบรนด์นี้ สามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ จากคุณภาพและรสชาติของอาหาร จนทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง โดยมียอดผู้ติดตามบน Social Media มากกว่า 500,000 ราย

Advertisment

และเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิก (Membership) กว่า 145,000 ราย โดยในปี 2566 สมาชิกดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทกว่า 54.36% ซึ่งถือว่าเป็นลูกค้าประจำที่สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นฐานสำคัญสำหรับการสร้างแบรนด์ใหม่ในอนาคตของบริษัท”

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการเติบโดที่โดดเด่น ทั้งรายได้และกำไร โดยในช่วงปี 64-66 บริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่สูงถึง 64.91% และ 96.38% ต่อปี ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลทั้งจากการเปิดสาขาใหม่ และการเติบโตจากรายได้ของสาขาเดิม ในขณะเดียวกัน บริษัทมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ทั้งจากการขยายสาขาเพิ่มเติมและการเปิดแบรนด์ใหม่

โดยในปีนี้บริษัทยังมีแผนในการเปิดสาขาใหม่ 11 สาขา ซึ่งจะส่งผลให้ ณ สิ้นปี บริษัทจะมีสาขาเพิ่มเป็นจำนวน 36 สาขา เติบโตขึ้นจาก 25 สาขา ณ สิ้นปีที่แล้ว ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ทั้งนี้ มีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด

Advertisment

อนึ่ง MAGURO ประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมี่ยม-แมส (Premium Mass) ภายใต้ปรัชญา “การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)” โดย ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่

  1. ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม “MAGURO” (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา
  2. ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมี่ยม “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา
  3. ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 7 สาขา

ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลรวม 3 แบรนด์ จำนวน 27 สาขา อีกทั้งยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยงในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ “MAGURO GO”

สำหรับผลการดำเนินงานใน ปี 2566 มีรายได้รวม 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131.12% จากปีก่อนหน้า โดยมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40.00 ของกำไรสุทธิตามงบฯการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองต่าง ๆ