MAGURO รุกชิง 3 ตลาดอาหารญี่ปุ่น-ปิ้งย่าง-ชาบู ปูพรม 10 สาขาต่อปี

Maguro

MAGURO เร่งสปีดธุรกิจ ผุดเพิ่ม 10 สาขาต่อปี-เล็งเพิ่ม 2 แบรนด์ใหม่ พร้อมเข้าตลาดหุ้น MAI ระดมทุนขยายธุรกิจชิงส่วนแบ่งตลาดอาหารญี่ปุ่น-เกาหลี ตั้งเป้าเติบโต 30% ต่อปี

วันที่ 28 เมษายน 2567 นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านอาหารแบรนด์ MAGURO, SSAMTHING TOGETHER และ HITORI SHABU กล่าวว่า ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่น, ปิ้งย่าง และชาบู แม้จะมีการแข่งขันสูงแต่ยังมีช่องว่างจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

ไม่ว่าจะเป็นความต้องการประสบการณ์แบบพรีเมี่ยมคู่กับความคุ้มค่า หรือการเปลี่ยนมาทานอาหารคนเดียวมากขึ้น ส่วนตลาดปิ้งย่างมีช่องว่างสำหรับปิ้งย่างสไตล์เกาหลีซึ่งยังถือเป็นของใหม่สำหรับตลาดไทย

ด้วยโอกาสจาก 3 ความเปลี่ยนแปลงนี้บริษัทจึงตัดสินใจสปีดธุรกิจทั้งด้านการขยายสาขา เพิ่มแบรนด์ใหม่ และเตรียมตัวเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ MAI เพื่อนำเม็ดเงินมาต่อยอดธุรกิจในอนาคต

ลุยปูพรม 10 สาขาต่อปี

สำหรับการขยายสาขานั้น ผู้บริหารมากุโระ กรุ๊ป ระบุว่า จะเปิดสาขาใหม่ของแบรนด์ต่าง ๆ รวมกันไม่น้อยกว่าปีละ 10 สาขาทั้ง โดยช่วงแรกจะเน้นในกทม. และปริมณฑล ส่วนในระยะยาวจะขยายออกสู่ต่างจังหวัด ทั้งทำเลในห้างฯ คอมมูนิตี้มอลล์และสแตนอโลน มุ่งกลุ่มลูกค้าอายุ 25-45 ปี ที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง

Advertisment

หลังปี 2566 เปิดสาขาใหม่ 11 สาขา และปี 2567 นี้ เปิดสาขาใหม่แล้ว 2 สาขา คือ ทองหล่อ และ Paradise Park ศรีนครินทร์

ปั้น 2 แบรนด์ใหม่

ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างพัฒนาแบรนด์ใหม่ ซึ่งจะมีทั้งที่เป็นแบรนด์ย่อยของ 3 แบรนด์หลัก และแบรนด์ใหม่ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง โดยคาดว่าจะทยอยเปิดตัวได้ในช่วงปี 2567 – 2568 นี้

ทั้งนี้ที่ผ่านมารายได้หลักของบริษัท มาจากร้านอาหารญี่ปุ่น MAGURO คิดเป็น 61.96% ในขณะที่รายได้จากร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้ HITORI SHABU คิดเป็น 18.94% และรายได้จากร้านปิ้งย่างเกาหลี SSAMTHING TOGETHER คิดเป็น 19.10% ของรายได้จากธุรกิจร้านอาหาร

ส่วนรายได้รวมในปี 2566 จำนวน 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% จากรายได้รวม 665.85 ล้านบาท ในปี 2565 และมีกำไรสุทธิ 72.48 ล้านบาทในปี 2566 เติบโตสูงถึง 131.12% จากกำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท ในปี 2565

Advertisment

เตรียมเข้า MAI ระดมทุน

ด้านการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ MAI นั้น มีแผนที่ระดมทุน โดยการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด

โดยจะนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาเพิ่ม, ปรับปรุงสาขาเดิมและปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

ขณะเดียวกัน นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) (ผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ) เสริมว่า ปัจจุบันบริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ “MAGURO” มีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท

เป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 21,460,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 17.03% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte. Ltd. (“HOLISTIC IMPACT”) จำนวนไม่เกิน 12,600,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10.00%

ทั้งนี้ MAGURO มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ก่อนและหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ดังนี้

  1. HOLISTIC IMPACT สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 28.34% และ 13.52% ตามลำดับ
  2. นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ
  3. นายชัชรัสย์ ศรีอรุณ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ
  4. นายรณกาจ ชินสำราญ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ
  5. นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 17.91% และ 14.86% ตามลำดับ
  6. ประชาชนทั่วไปหลังการเสนอขาย IPO อยู่ที่ 27.03%