“แบงก์ชาติ” ไม่ลดดอกเบี้ยตามคาด คลังจี้ผ่อนเกณฑ์สินเชื่อ

“แบงก์ชาติ” ไม่ลดดอกเบี้ยตามคาด คลังจี้ผ่อนเกณฑ์สินเชื่อ

เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันคือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2567 มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50% ต่อปี เป็นการคงอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 นับตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 2566 โดย กนง.เสียงแตกให้คงดอกเบี้ย 6 ต่อ 1 เสียง จากครั้งก่อนที่อยู่ที่ 5 ต่อ 2 เสียง

ทั้งนี้ กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว จากอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้น และประเมินว่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 โดยกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน

ส่วนกรรมการ 1 รายที่เห็นว่าควรปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น และจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้บ้าง

ปีนี้ “ปิดประตู” ลดดอกเบี้ย

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า มติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ออกมา ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% สะท้อนว่า กนง. “ปิดประตู” ที่จะลดดอกเบี้ยในปีนี้แล้วอย่างชัดเจน โดย กนง.มองว่าเศรษฐกิจจะทยอยเติบโตมากขึ้น ขณะที่การชะลอตัวของแมนูแฟกเจอริ่งก็พ้นจุดต่ำสุดแล้ว การท่องเที่ยวก็จะฟื้นตัวดีขึ้นอีก

รวมถึงการเบิกจ่ายภาครัฐที่จะช่วยเศรษฐกิจมากขึ้น ส่วนเงินเฟ้อทาง กนง.ก็มองว่าไตรมาส 4 จะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ น่าจะอยู่ที่กว่า 1% นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไปอีก ก็ยิ่งทำให้ กนง.ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้นตามไปด้วย

“กนง.กำลังบอกว่า แรงกดดันที่จะลดดอกเบี้ยในปัจจุบัน ไม่มีแล้ว เพราะเดี๋ยวทุกอย่างจะค่อย ๆ ดีขึ้น อีกประเด็นที่ กนง.บอก ก็คือว่า หนี้ครัวเรือนกำลังมีปัญหา ซึ่งความเสี่ยงของภาคการเงินก็อยู่ตรงนี้ ดังนั้นถ้าลดดอกเบี้ยไป จะไปทำให้ความเสี่ยงตรงนี้เพิ่มขึ้น ผมจึงเชื่อว่า ในระยะสั้นจะไม่เห็น กนง.ลดดอกเบี้ยแน่ ๆ และที่สำคัญ มติที่ออกมาจากเดิม 5 ต่อ 2 กลายเป็น 6 ต่อ 1 แปลว่า กนง.สามารถโน้มน้าวใจกรรมการได้มากขึ้น”

ADVERTISMENT

มีแค่ 2 ประเด็นเปลี่ยนใจ กนง.

ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า มีเพียง 2 ประเด็นที่จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปลี่ยนใจมาลดดอกเบี้ยได้ ก็ได้ 1.หากเศรษฐกิจชะลออย่างชัดเจน และ 2.หนี้เสียในระบบธนาคารพาณิชย์เร่งตัวขึ้น ธปท.ก็จะต้องคิดหนักมากขึ้น เพราะหากหนี้เพิ่มมาก แล้วสินเชื่อไม่โต สินเชื่อหดตัว ก็จะให้ไม่มีเงินเข้าไปช่วยระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสุดท้ายก็จะดึงเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงมาได้

ไม่ลดดอกเบี้ย

ADVERTISMENT

จี้แบงก์ชาติผ่อนเกณฑ์สินเชื่อ

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า มติที่ออกมาก็ถือเป็นอำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนทางรัฐบาลก็ยังจะเดินหน้าในเรื่องของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งต้องใช้กลไกทางการคลังต่อไป

อย่างไรก็ดี การพูดคุยกันล่าสุดกับแบงก์ชาติ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ไม่ได้มีการพูดกันถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ย แต่หารือถึงมาตรการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือ “Soft Loan” ของธนาคารออมสิน โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 ซึ่งทางแบงก์ชาติเองก็ให้การสนับสนุน

“รัฐบาลเอง ก็ฝากการบ้านไปในเรื่องของการผ่อนคลายสินเชื่อ ที่จะให้ถึงมือของภาคประชาชนง่ายขึ้น ขณะที่รัฐบาลเอง มีสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ก็ใช้กลไกอย่างธนาคารออมสิน เพื่อที่จะส่งสินเชื่อไปถึงมือของเอกชนกับประชาชน แต่ในส่วนของแบงก์พาณิชย์ อยู่ในกลไกของแบงก์ชาติ ก็ฝากโจทย์ให้แบงก์ชาติรับไปพิจารณา

เพราะกลไกหลักจะมีด้วยกัน 2 ปีก คือ 1.อัตราดอกเบี้ยแพงหรือถูก 2.การเข้าถึงสินเชื่อ ซึ่งเป็นปัญหาทั้งคู่ วันนี้ดอกเบี้ยยังไม่ลด ก็อยู่ที่อํานาจ กนง.ในการพิจารณา ซึ่งทาง กนง.คงมีปัจจัยหลายสิ่งที่ได้พิจารณาแล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเข้าถึงสินเชื่อ ก็เป็นสิ่งที่สําคัญก็อยากจะให้ผ่อนคลายบ้าง”

รอบนี้ ความพยายามของกระทรวงการคลังจะประสบผลหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง