จับตาคลังปลุกตลาดหุ้น แก้ปมดัชนีหลุด 1,300 จุด

ดัชนีตลาดหุ้นไทยหลุด 1,300 จุด ต่ำสุดในรอบ 4 ปี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ก่อนวันชี้ชะตาคดีการเมือง 4 คดีใหญ่ (18 มิ.ย.) โดยก่อนหน้านั้น หุ้นไทยก็ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมาตลอด 3 สัปดาห์ ทำให้นับตั้งแต่ต้นปี หรือเพียง 6 เดือนเงินทุนไหลออกไปร่วม 100,000 ล้านบาท จากช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะไหลออกปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท มองไปข้างหน้าตลาดหุ้นไทยจะไปในทางไหน และจะฟื้นกลับมาได้หรือไม่ ยังมีหลาย ๆ ปัจจัยที่ต้องติดตาม

การเมืองกดดัน-ต่างชาติเทขาย

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า หุ้นไทยที่ดัชนีร่วงลงแรงในช่วงนี้ เกิดจากการมีเครื่องมือที่เอื้อให้นักลงทุนต่างชาติทำ Short Sell โดยประเด็นการเมือง เป็นส่วนประกอบเพื่อให้เกิดความกลัว

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากรัฐบาลสามารถใช้งบประมาณรายจ่ายและเร่งเบิกจ่ายงบฯ ก็จะค่อย ๆ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้เพิ่มขึ้น

“ประกอบกับมาตรการสร้างความเชื่อมั่นของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะเริ่มมีการบังคับใช้มาตรการ Uptick Rule หรือเพิ่มความเข้มงวดที่จะตรวจสอบการ Short Sell รวมไปถึงกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ทำให้เชื่อว่าหุ้นไทยจะไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้”

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า หากปัจจัยการเมืองมีความชัดเจน ตลาดหุ้นก็น่าจะมีปัจจัยบวกได้ เพราะ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องไป 18 วันทำการ ซึ่งน่าจะตอบรับปัจจัยการเมือง เพราะปกติเวลาหุ้นเกิดความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก จะกดดันประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้นมีโอกาสฟื้นได้

คลังงัดมาตรการปลุกลงทุน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า การที่หุ้นตกจนหลุด 1,300 จุด ปัจจัยหลัก ๆ คงเป็นประเด็นเรื่องความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ โดยเฉพาะจากสถานการณ์ทางการเมือง เพราะในเดือน มิ.ย.นี้ มีปัจจัยทางการเมืองหลายอย่างที่เข้ามาพร้อมกัน ก็อาจจะทำให้เกิดความลังเล และความสงสัยในหมู่นักลงทุนระดับหนึ่ง

ADVERTISMENT

แต่เชื่อว่าจะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย มีความชัดเจนในทิศทางต่าง ๆ ก็เชื่อว่าสถานการณ์ด้านการค้าและการลงทุนจะกลับมาเป็นปกติได้

รมช.คลังกล่าวอีกว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กำลังเร่งพิจารณาสร้างกลไกและหาช่องทางในการกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุน ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาเรื่องกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หรือกองทุนรวมส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เหล่านี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด ซึ่งเมื่อได้ข้อสรุปจะต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

“สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ไม่ใช่แค่เพียงการปรับพื้นฐานในระยะสั้น แต่เป็นการสนับสนุนในระยะกลาง-ยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงทุน โดยการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาศักยภาพแรงงาน เหล่านี้เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศต่อไป”

ลุ้นครึ่งปีหลังหุ้นไทยฟื้น

ด้านนายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพตลาดหุ้นไทยระยะสั้นยังเหนื่อย ติดบ่วงเรื่องประเด็นความไม่แน่นอนภายในประเทศเป็นหลัก แต่หากสถานการณ์คลี่คลายและดูดีขึ้นได้ คาดหวังว่าบรรยากาศตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567

โดยภาพเศรษฐกิจไทย งวดไตรมาส 1/2567 น่าจะเป็นช่วงจุดต่ำสุดไปแล้ว ไตรมาส 2 ตัวเลข GDP น่าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น และไตรมาส 3-4 การเติบโตน่าจะเร่งตัวชัดกว่าครึ่งปีแรก แรงขับเคลื่อนจากการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และการเบิกจ่ายภาครัฐที่จะเร่งตัวขึ้น ประเมินสิ้นปี GDP ไทยน่าจะอยู่ที่ 2.6% หากโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลตเกิดขึ้นช่วงปลายปี

หุ้นไทยถูก P/E อยู่ที่ 14 เท่า

นายรัฐศักดิ์กล่าวว่า บล.กสิกรไทย ให้เป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้ยังอยู่ที่ระดับ 1,450 จุด ใช้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ระยะยาวที่ 16 เท่า แต่ด้วยเซนติเมนต์ระยะสั้นถูกกดดัน ทำให้ปัจจุบันตลาดเทรดอยู่ที่ P/E ประมาณ 14 เท่า ลดลงมาต่ำ และถือว่าเป็นแนวรับเทียบเท่าช่วงที่มีปัญหาการเมืองปี 2013 ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์

และปี 2015-2016 หลังช่วงที่มีรัฐประหาร เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ฟื้นช้า การเบิกจ่ายก็ล่าช้าเหมือนกับปีนี้ และอีกรอบในปี 2018 ตอนที่เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ดังนั้นแนวรับที่ P/E 14 เท่า ดัชนี SET น่าจะเอาอยู่ ถ้าเกิดสถานการณ์การเมืองในประเทศไม่ได้เลวร้ายไปกว่านี้

“เชื่อว่าฟันด์โฟลว์ต่างชาติน่าจะไหลกลับมาได้ช่วงครึ่งปีหลัง ถ้าสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายได้ตามที่คาด เพราะนับจากต้นปีถึงปัจจุบัน ดัชนี SET ค่อนข้าง Underperform ตลาดหุ้นอื่น เพราะลงเพียงตลาดเดียว ถ้าเทียบกับตลาดโลก จากปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่ฟื้นช้า”

ตลาดหุ้นเผชิญวิกฤตเชื่อมั่น

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงษ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในเวลานี้ เพราะหากความเชื่อมั่นกลับมา จะสะท้อนภาพตลาดหุ้นที่ฟื้นตัวได้ ซึ่งเป็นภารกิจของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ (อัสสเดช คงสิริ) โดยจะต้องติดตามและประเมินผลมาตรการกำกับตลาดหุ้น ว่าผลของมาตรการช่วยทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้หรือไม่

หากไม่ฟื้นก็ต้องปรับปรุงแก้ไข อย่างเช่น การควบคุมการซื้อขายหุ้นของกลุ่มโรบอตเทรด รวมถึงมาตรการ Uptick ให้ขายชอร์ตในทุกหลักทรัพย์ได้ด้วยราคาที่สูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย ซึ่งจะประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป

“ความเชื่อมั่นของตลาดทุนอาจจะไม่ได้ฟื้นตัวขึ้นเร็ว เพราะพื้นฐานของประเทศมีปัญหา จากการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่ต่ำ แต่ก็เชื่อว่าหุ้นประมาณ 7 เซ็กเตอร์ ยังมีโอกาสเติบโตได้ดี น่าจะช่วยหนุนภาพตลาดหุ้นกลับมาดูดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น 1.กลุ่มการท่องเที่ยวและบริการ

2.กลุ่มที่ได้อานิสงส์จากมาตรการของรัฐบาล 3.กลุ่มที่จะได้รับผลดีจากการย้ายฐานผลิตของบริษัทต่างชาติ 4.บริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศสูง 5.กลุ่มผู้นำด้านความยั่งยืน 6.บริษัทที่มีการจ่ายปันผลที่ดี และ 7.บริษัทที่อยู่ในธุรกิจเป้าหมาย New Economy”

ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวด้วยว่า ระยะยาวจะต้องไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม และหาบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเป้าหมาย (New Economy) เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยให้มากขึ้นด้วย