ธปท. ยันเงินเฟ้อต่ำกรอบล่าง แต่ยังไม่ส่งสัญญาณภาวะเงินฝืด

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

ธปท.ยืนยันยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด แม้เงินเฟ้อจะต่ำกว่าเป้าหมาย คาดช่วงครึ่งหลังของปีเงินเฟ้อกลับเข้ากรอบ 1-3% ด้านนโยบายการเงินพิจารณา 3 ส่วน รับหนี้เสียปรับเพิ่มขึ้น พร้อมใช้นโยบายเครื่องมือหลายอย่าง ไม่ได้ใช้นโยบายดอกเบี้ยอย่างเดียว

วันที่ 28 สิงหาคม 2567 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ “Thailand’s Monetary Policy Challenge : How to Manage the Risks in a Changing Global Environment” ที่งานสัมมนาประจำปี Thailand Focus 2024 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่สาขาต่าง ๆ ฟื้นตัวไม่เท่ากัน

โดยเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2566 โตติดลบ จีดีพีลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า จากผลของงบประมาณรัฐบาลล่าช้า ส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2567 เติบโต 1.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และจีดีพีไตรมาส 2/2567 โต 0.8% จากไตรมาสแรก

ซึ่งการฟื้นตัวจะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปีนี้ ธปท.คาดว่าจีดีพีทั้งปีจะเติบโต 2.6% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของหน่วยงานรัฐบาลอื่น และนักวิเคราะห์ ในขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 1-3% แต่เงินเฟ้อจะเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี แม้เงินเฟ้อจะต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ยังไม่เห็นสัญญาณเงินฝืด ราคาสินค้าเพียงบางรายการที่มีราคาลดลง แต่ยังไม่ลดลงในวงกว้าง ผู้บริโภคไม่ได้หยุดใช้จ่ายเพื่อรอให้ราคาสินค้าลดลงไปอีก

ทั้งนี้ ในการดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติ 6 ต่อ 1 เสียง คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.5% ต่อปี ในการประชุมเมื่อ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ในการดำเนินนโยบายการเงิน ธปท.ให้ความสำคัญกับแนวโน้มข้างหน้ามากกว่าที่จะอิงกับข้อมูลตลาด โดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องดังต่อไปนี้

เรื่องแรก การเติบโตของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโต 2.6% ในปีนี้ และ 3% ในปีหน้า ระดับการเติบโตถือว่าไม่สูง แต่สอดคล้องกับศักยภาพในการเติบโตระยะยาวของไทยที่ระดับ 3% บวกลบ การเติบโตได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านประชากร โดยประชากรกำลังแรงงานลดลง การที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตสูงกว่าระดับนี้ มีทางเดียวคือการเพิ่มผลิตภาพของแรงงาน การลงทุน การพัฒนาเทคโนโลยี การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะได้ผลระยะสั้นเท่านั้น ศักยภาพการเติบโตระดับนี้ถือเป็นภาวะปกติใหม่ของไทย (New Normal)

ADVERTISMENT

เรื่องที่สอง เงินเฟ้อไทยลดลง และกำลังกลับเข้าสู่เงินเฟ้อเป้าหมาย เศรษฐกิจไม่ได้ไหลลงสู่ภาวะเงินฝืด เงินเฟ้อไทยต่างจากประเทศอื่น เงินเฟ้อภาคบริการของไทยไม่สูง ค่าเช่าทรงตัวและดึงเงินเฟ้อลง

เรื่องที่สามคือ เสถียรภาพการเงิน ซึ่งเป็นถือว่าเป็นปัญหาท้าทายมาก จากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ของจีดีพี ปัญหาน่ากังวลเพราะหนี้เงินกู้บ้านของไทยมีประมาณเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น เทียบกับหนี้ครัวเรือนของประเทศพัฒนาแล้ว ที่หนี้จำนองบ้านถือเป็นส่วนใหญ่ของหนี้ครัวเรือน ยอมรับว่าแก้ไขยากและต้องใช้เวลา ธปท.ต้องการทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงมาที่ระดับ 80% ต่อจีดีพี

ADVERTISMENT

จากที่ภาคเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่เท่ากัน ภาคท่องเที่ยวและที่เกี่ยวข้องฟื้นตัวดี แต่ภาคการผลิตอ่อนแอ การฟื้นตัวของรายได้ของประชาชนก็ไม่เท่ากัน ผู้ประกอบอาชีพส่วนตัว เช่น แม่ค้า คนขับแท็กซี่ยังได้รับผลกระทบ รายได้ยังไม่ฟื้นตัวดี หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากช่วงโควิดระบาด

“แม้เศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัว แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้รู้สึกว่าฟื้นตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ ธปท.คาดสินเชื่อด้อยคุณภาพจะเพิ่มขึ้นไป แต่ไม่ถึงขึ้นรุนแรง และคุณภาพสินเชื่อจะด้อยลงต่อไป”

ดังนั้น นโยบายการเงินนั้น เน้นนโยบายผสมสาน นโยบายดอกเบี้ยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการหลายอย่าง และพร้อมปรับหากสถานการณ์เปลี่ยน ไม่ได้ยึดติดจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ธปท.ให้ความสำคัญกับมาตรการรองรับความเสี่ยง เพราะสถานการณ์ในโลกไม่แน่นอน คาดการณ์ไม่ได้ จึงต้องทำนโยบายเผื่อไว้หลาย ๆ ทาง นอกจากนโยบายดอกเบี้ย ก็ยังมีมาตรการอื่น ๆ เช่น การให้เงินกู้อย่างรับผิดชอบของสถาบันการเงิน เพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้