บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล หรือ HENG ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังรัดกุมการปล่อยสินเชื่อใหม่-ติดตามหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมควบคุมค่าใช้จ่าย คาดไตรมาส 4/2567 ฟื้นตัวต่อเนื่อง ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อเพื่อการเกษตรเติบโต 5% ภายในปี 2568
นายวิชัย ศุภสาธิตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ HENG หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อรายใหญ่ของประเทศไทยภายใต้แบรนด์ “เฮงลิสซิ่ง” เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2567 (กรกฎาคม-กันยายน) บริษัทมีรายได้ 696 ล้านบาท เติบโตลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และกลับมาทำกำไรสุทธิ 20 ล้านบาทเติบโต 168% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยหลักมาจากการดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงด้านการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างเข้มงวด การควบคุมคุณภาพสินเชื่อ การติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ส่งให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ พลิกกลับมาทำกำไรได้ตามเป้าหมาย
สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการความเสี่ยง ความสามารถรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่พอร์ตสินเชื่อในไตรมาสนี้ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว จากการดำเนินนโยบายเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ อย่างไรก็ตามการชะลอตัวของการปล่อยสินเชื่อใหม่ ส่งผลให้บริษัทสามารถนำกระแสเงินสดไปชำระเงินกู้จากสถาบันการเงินล่วงหน้า ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) แม้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 5% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่บริษัทเชื่อมั่นว่ายังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ และเป็นสัญญาณการชะลอตัวของ NPLs โดยบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อใหม่แก่กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุม NPLs ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ทั้งนี้ บริษัทประเมินแนวโน้มไตรมาส 4/2567 จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มลูกค้าเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ จะเริ่มกลับมาทำการเกษตรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย จะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัท รวมทั้งจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และการทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว โดยมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด
ล่าสุด บริษัทยังได้รับผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2567 (CGR 2024) ให้อยู่ในระดับ “ดีเลิศ (Excellent)” หรือ 5 ดาว เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน จากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 2567 ที่จัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดูแลรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
“แม้ภาพรวมตลาดสินเชื่อยังคงมีความท้าทาย แต่บริษัทฯมุ่งเน้นกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ เร่งรัดการติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อเพื่อการเกษตร ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพเพิ่มสัดส่วนเป็น 5% ภายในปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว” นายวิชัย กล่าว