กรุงไทย คาดปี 68 กนง.หั่นดอกเบี้ย 0.25% หากเศรษฐกิจ “แย่ลง” จับตา Trump 2.0

กรุงไทย

ธนาคารกรุงไทย โดย “Krungthai GLOBAL MARKETS” ระบุ สศช.เศรษฐกิจไตรมาส 3/67 ขยายตัว 3.0% และทั้งปี’67 อยู่ที่ 2.6% ชี้อานิสงส์การลงทุนภาครัฐ-การบริโภค จับตา Trump 2.0 กระทบนโยบายด้านต่าง ๆ กดดัน ธปท.ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 2.00% ในปี 2568 หลังประเมินเศรษฐกิจ “แย่ลง” 

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ของปี 2567 ขยายตัว +3.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่โตราว +2.2% หนุนโดยการกลับมาขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ นอกจากนี้ เศรษฐกิจยังได้แรงหนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้าและบริการ รวมถึงการบริโภคภาคเอกชน ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัวต่อเนื่อง

โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปี 2567 อาจโตราว +2.6% ส่วนในปี 2568 เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวราว +2.3% ถึง +3.3% หนุนโดยการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน อานิสงส์ของการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐที่กลับมาเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของการส่งออก

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงคือความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่สหรัฐ ปัญหาหนี้ครัวเรือนและเอกชนที่อยู่ในระดับสูง และผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ

นายพูน พานิชพิบูลย์

รายงาน GDP ล่าสุดยังคงสอดคล้องกับคาดการณ์เศรษฐกิจของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้เราคงมองว่า ธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.25% ในปีนี้ ส่วนในปี 2568 ธปท.อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 2.00% หากแนวโน้มเศรษฐกิจไทย “แย่กว่า” ที่ ธปท.ประเมินไว้ ซึ่งต้องจับตาผลกระทบจากการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล Trump 2.0

ADVERTISMENT

โดย สศช.แถลงตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Real GDP) ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2024 ขยายตัว +3.0% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน “ดีกว่า” ที่ตลาดคาดที่ +2.4%

เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ของปี 2567 ขยายตัว +3.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยการขยายตัวกว่า +25.9% ของการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นของการส่งออกบริการ (ซึ่งส่วนใหญ่คือการท่องเที่ยว) +21.9% การส่งออกสินค้า +8.3% และการใช้จ่ายของภาครัฐ +6.3% ทว่าการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลง +3.4% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังคงหดตัวต่อเนื่อง -2.5%

ADVERTISMENT

สศช.ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2567 ขยายตัว 2.6% ส่วนในปี 2568 เศรษฐกิจอาจโตราว 2.3-3.3% โดยเศรษฐกิจไทยจะยังคงได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวของภาคการส่งออก และการบริโภคภาคเอกชน นอกจากนี้ เศรษฐกิจก็จะได้แรงส่งเพิ่มเติมจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ

นอกจากนี้ สศช.ได้ประเมินอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 ราว 0.5% และในกรอบ 0.3-1.3% สำหรับปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สศช.ได้ประเมินดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 และปี 2568 อาจเกินดุลราว 2.5% และ 2.6% ของ GDP ตามลำดับ

ทั้งนี้ สศช.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิด อาทิ ความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่สหรัฐ ซึ่งอาจทำให้เกิดความผันผวนต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกได้ นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนและเอกชนที่อยู่ในระดับสูง และผลกระทบจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยขยายตัว “ดีกว่าคาด” ทำให้เราคงมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย “คงดอกเบี้ย” ที่ 2.25% ในปีนี้ แต่ปีหน้า ธปท.อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรับมือผลกระทบจากสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้น

การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐได้กลับมาเป็นปัจจัยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ซึ่งหากการเบิกจ่ายของภาครัฐยังคงดำเนินต่อไปได้ไม่สะดุดก็อาจทำให้เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 อีกทั้งช่วงไตรมาสที่ 4 ก็ยังเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยจะได้แรงหนุนจากทั้งการฟื้นตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว (ช่วงไฮซีซั่น) การขยายตัวของภาคการส่งออก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้เรามองว่าเศรษฐกิจไทยก็มีแนวโน้มจะเป็นไปตามที่ ธปท. ประเมินไว้ ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า ธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% ในปีนี้

อย่างไรก็ดี ผลการเลือกตั้งสหรัฐที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะ พร้อมเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส ทำให้มีความเสี่ยงที่การค้าโลกจะถูกกดดันจากสงครามการค้ารอบใหม่ ซึ่งในครั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาล Trump 2.0 อาจดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าได้เร็วขึ้นจากเมื่อครั้งรัฐบาล Trump 1.0 อีกทั้งมาตรการดังกล่าวก็อาจมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เราคงเชื่อว่า ธปท.อาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลงบ้างราว -25bps สู่ระดับ 2.00% ในปี 2568

โดยการลดดอกเบี้ยลงดังกล่าว ก็ถือว่าอาจอยู่ในระดับที่นโยบายการเงินของ ธปท.นั้นยังเป็นกลางอยู่ หากเราประเมินว่า Neutral Rate ของไทยนั้นอยู่ในช่วง 2.00-2.50% และการลดดอกเบี้ยดังกล่าว นอกจากจะช่วยพยุงเศรษฐกิจ ลดทอนผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ยังช่วยบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือน โดยไม่ทำให้กระบวนการปรับลดหนี้ครัวเรือนสะดุดลง

ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดบอนด์ได้รับรู้โอกาสที่ ธปท.จะลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.00% ไปมากแล้ว ทำให้เรามองว่าบอนด์ระยะยาว เช่น บอนด์ 10 ปีขึ้นไปถึงจะมีความน่าสนใจในการทยอยเข้าซื้อ