
คปภ.-สำนักงานตำรวจแห่งชาติอบรมเข้ม “ประกันรถภาคบังคับ” สร้างความตระหนักรู้ สู่ความปลอดภัยบนท้องถนน เผยหลักการสำคัญ รถทุกคันที่เจ้าของรถได้ใช้ต้องจัดให้มีการทำ “ประกันภัย พ.ร.บ.” คุ้มครองผู้ประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถทั้งผู้ขับขี่-ผู้โดยสาร-คนเดินถนน การไม่มีประกันภัย พ.ร.บ.ถือว่าผิดกฎหมาย-ไม่สามารถต่อทะเบียนรถได้
นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นประธานเปิดการอบรม “โครงการอบรมความรู้ให้กับบุคลากรของหน่วยงานที่สนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจการดำเนินงานของกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยและความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ”

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยรถภาคบังคับ ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนพึงได้รับตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ให้แก่บุคลากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และบุคลากรของสำนักงาน คปภ. ที่ปฏิบัติงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์การปฏิบัติงานเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรือประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน
สำนักงาน คปภ.มีภารกิจหลักในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้มีความมั่นคงและมีธรรมาภิบาล ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัย และการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ทางด้านประกันภัยของประชาชน โดยภารกิจดังกล่าวครอบคลุมไปถึงการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ที่ถูกตราขึ้นมาแล้วกว่า 30 ปี
ซึ่งหลักการสำคัญคือการกำหนดให้รถทุกคันที่เจ้าของรถได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ ไม่ว่ารถนั้นจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น ต้องจัดให้มีการทำประกันภัยรถภาคบังคับ หรือที่เรียกกันว่า “ประกันภัย พ.ร.บ.” เพื่อคุ้มครองผู้ประสบอุบัติเหตุจากการใช้รถ ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคนเดินถนน โดยให้ความช่วยเหลือด้านค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพอย่างถาวร หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง และค่าชดเชยรายวัน ซึ่งช่วยลดภาระทางการเงินและสร้างความมั่นใจในการใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ การไม่มีประกันภัย พ.ร.บ.ถือว่าผิดกฎหมาย และไม่สามารถต่อทะเบียนรถได้ จึงมีความสำคัญทั้งในด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎหมาย
การอบรมในครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความอนุเคราะห์ส่งข้าราชการตำรวจในตำแหน่งเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้ารับการอบรมรวม 180 คน อีกทั้งได้มอบหมายคณะวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 6 สำนักงานจเรตำรวจ และ พ.ต.ท.พชร์ ฐาปนดุลย์ รองผู้กำกับการกลุ่มงานนิติกรด้านการเสริมสร้างและพัฒนา เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ “การบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินการทางพินัยตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ : ประสบการณ์จริงสู่การปฏิบัติงานร่วมกัน” ด้วย
นอกจากนี้ ผู้แทนของสำนักงาน คปภ.ได้บรรยายให้ความรู้ในอีก 2 หัวข้อ คือ “ประกันภัย พ.ร.บ. : ความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถและสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะพึงได้รับ” และหัวข้อ “การดำเนินการของพนักงานสอบสวนที่มีผลต่อความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ” โดยมีผู้เข้ารับการอบรมรวมกว่า 200 คน
โอกาสนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษได้กล่าวมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ.มีการขับเคลื่อนการประกันภัย พ.ร.บ.ในหลากหลายมิติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น 1) การปรับเพิ่มความคุ้มครองการประกันภัย พ.ร.บ. 2) การบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมการขนส่งทางบก เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ. ก่อนชำระภาษีรถยนต์ประจำปี และ 3) การขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ แอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถหาซื้อประกันภัย พ.ร.บ.ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น และสำนักงาน คปภ.จะพัฒนาให้แบบประกันภัย พ.ร.บ.เป็นกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Policy เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภคอีกด้วย
สำหรับการอบรมในครั้งนี้ สำนักงาน คปภ.ต้องขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นอย่างยิ่ง ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการประกันภัยรถภาคบังคับ นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้เข้ารับการอบรมทุกท่านจะได้รับความรู้เกี่ยวกับการประกันภัยรถภาคบังคับ และการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ สามารถนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงาน และสามารถให้คำแนะนำแก่ประชาชนเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถได้อย่างถูกต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน
โครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกัน ในฐานะผู้ปฏิบัติงานที่ใกล้ชิดกับประชาชน การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติงานเพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการกำกับดูแล เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยรถภาคบังคับให้แก่ประชาชนในทุกมิติ ตลอดจนกระตุ้นการรับรู้และปลูกฝังพฤติกรรมความปลอดภัยบนท้องถนน เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัยรถภาคบังคับ และสามารถนำระบบประกันภัยไปใช้บริหารความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง อันจะเอื้อประโยชน์สุขต่อสังคมส่วนรวมในที่สุด