
ทองคำพุ่งทะลุทุกแนวต้าน บิ๊กค้าทองแห่ปรับเป้าหมายราคาต่อเนื่อง “YLG” เผยช่วงกว่า 3 เดือนปรับแล้ว 3 ครั้ง เหตุสงครามการค้าสหรัฐ-จีนปะทุแรงหนุนคนแห่ลงทุนทองคำ ลุ้นแตะ 3,500 ดอลลาร์เร็ว ๆ นี้ ฟาก “แม่ทองสุก” ปรับเป้าราคาแล้ว 4 ครั้ง มองไตรมาส 4 มีโอกาสแตะ 3,700 ดอลลาร์ ลุ้นทองไทย 55,000 บาท หลังราคาขึ้นมาแล้วกว่า 10,000 บาท
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า สถานการณ์ราคาทองคำในปัจจุบันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงได้อย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากความกังวลสงครามการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่มีการปะทะวาทศิลป์เป็นรายวัน ซึ่งยังคงต้องติดตามว่าสงครามการค้าจะไปจบกันที่ไหน
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มยังคาดการณ์ค่อนข้างยาก เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยประกอบ ทั้งนโยบายของทรัมป์ที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงสถานการณ์นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้ราคาทองเพิ่มขึ้นได้สูงอย่างต่อเนื่อง
“ในปีนี้ราคาทองเปิดต้นปีที่ 2,624.50 ดอลลาร์ ปัจจุบันอยู่ที่บริเวณ 3,327 ดอลลาร์ เพียง 4 เดือนแรกปรับเพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 700 ดอลลาร์ ขณะที่ในประวัติศาสตร์เคยปรับขึ้นได้สูงสุดประมาณ 650 ดอลลาร์ ที่เป็นการเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี รอบนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการขึ้นสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์”
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นสูง ทำให้ทะลุเป้าราคาที่ YLG ประเมินไว้ 2 ครั้ง โดยปัจจุบันมีการปรับเป้าราคาทองแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งแรกประเมินที่ 3,150 ดอลลาร์ และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3,250 ดอลลาร์ และประเมินเป้าปัจจุบันที่ 3,500 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ที่เคยตั้งเป้าปีนี้ที่ 3,350 ดอลลาร์ ได้มีการขยับเป้าไปที่ 3,700 ดอลลาร์แล้ว
นางพวรรณ์กล่าวว่า ในระยะใกล้เริ่มเห็นว่า 3,500 ดอลลาร์ มีโอกาสเห็นได้ค่อนข้างสูง หากสถานการณ์สงครามการค้ายังคงรุนแรง โดยเฉพาะสหรัฐและจีน นักลงทุนก็ยังคงหันมาลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ซึ่งวิธีที่ทรัมป์ได้ทำและแก้ไขในปัจจุบันทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และหากวิธีการเดินเกมของทรัมป์หากไม่ถูกทาง โอกาสที่จีนจะแข็งแกร่งขึ้น และโอกาสที่ทองคำจะไปต่อมีค่อนข้างสูง นอกจากนี้ นโยบายทางด้านการเงินของกลุ่ม BRICS ที่อยู่ระหว่างการเตรียมออกเงิน BRICS Currency Digital โดยมีทองคำหนุนหลัง เพื่อใช้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิก ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนราคาทอง
“ทองคำมีโอกาสไปได้ไกล อย่างไรก็ตาม การถือทองในปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็น Safe Haven แต่เมื่อไหร่ที่สถานการณ์เบาบางลง ต้องกระโดดออกให้ทัน เนื่องจากราคาทองมาไกลมาก ซึ่งเวลามีการปรับลดลง น่าจะลงได้เร็วและแรงเช่นกัน แต่โอกาสที่จะกลับไปเห็นราคาทองที่ 40,000 บาท มีค่อนข้างน้อย ดังนั้น ราคาทองที่บริเวณ 42,000 บาท หรือประมาณ 2,600 ดอลลาร์ น่าจะเป็นฐานของปีนี้”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YLG กล่าวว่า ทองคำเมื่อราคาย่อลง จะเห็นได้ว่าปรับลงได้ค่อนข้างแรง ประมาณ 100-120 ดอลลาร์ และขึ้นได้สูงประมาณ 200 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ แกว่งตัวประมาณ 60-120 ดอลลาร์ต่อวัน ดังนั้น แนะนำนักลงทุนไม่ควร Follow Buy หรือซื้อตาม ให้รอราคาทองย่อ ซึ่งการย่อแต่ละครั้ง ปัจจัยทางเทคนิคเป็นจุดที่นักลงทุนต้องศึกษา เพราะการเข้าซื้อราคาที่ย่อลง โดยที่ไม่เห็นแนวรับ ราคาอาจจะลงได้อีก
“ราคาทองคำยังไปได้อีก จนกว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจ ด้านภาษี ด้านการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐจะคลี่คลาย จึงอาจจะเห็นการย่อตัวของราคาทองคำ แต่ในระยะใกล้จนถึงในปีนี้ อาจจะยังไม่เห็น”
ด้าน นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS) กล่าวว่า ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มและทิศทางในระยะยาว โดยได้อานิสงส์จากสงครามการค้าที่มีต่อเนื่อง ซึ่งในภาพหลักทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ดีให้กับภาวะที่สงครามการค้ามีความรุนแรง และอยู่ในระหว่างการเจรจา โดยราคา Gold Spot ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีแล้วกว่า 27.8% อยู่ที่ประมาณ 3,327.50 ดอลลาร์ ด้านราคาทองคำในประเทศเพิ่มขึ้นแล้ว 23% หรือราคาปรับเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 บาทแล้ว
“มองว่าทองมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงไตรมาส 3-4 หากสงครามการค้าจีนและสหรัฐยังไม่สิ้นสุด โดย MTS ขยับเป้า Gold Spot ปีนี้ที่ 3,500 ดอลลาร์ ในช่วงไตรมาส 3 และ 3,700 ดอลลาร์ ในช่วงไตรมาส 4 หรือราคาทองในประเทศที่ 54,000 บาท ในไตรมาส 3 และ 55,000 บาท ในไตรมาส 4”
นพ.กฤชรัตน์กล่าวว่า ในปีนี้ราคาทองโลก ทำ All Time High แล้ว 30 ครั้ง โดย MTS ปรับเป้าราคาประมาณ 4 ครั้ง จากเป้าแรกที่ 3,000 ดอลลาร์ เป้าต่อมาที่ 3,200 ดออลาร์ เป้าต่อมาที่ 3,300 ดอลลาร์ และปัจจุบันปรับเป้าหมายขึ้นมาที่ 3,500-3,700 ดอลลาร์ โดยในระยะถัดไปยังคงต้องติดตามภาวะสงครามการค้าในปัจจุบันว่าจะมีการตอบโต้ หรือต่อรองกันได้มากน้อยแค่ไหน
“หากนักลงทุนซื้อทองคำแท่งเก็บ แนะนำทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวเพราะเป็นการหวังผลในระยะกลาง โดยแนะนำเพิ่มพอร์ตประมาณ 40-50% สำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนต่ำกว่า 1 ล้านบาท สำหรับการลงทุนที่เป็นการเทรดแนะนำให้เข้าเร็ว ออกเร็ว และบริหารความเสี่ยง โดยเมื่อราคาขึ้นหรือกำไรทุก 1% แนะนำให้ขาย หรือราคาที่ปรับลดลง 1% ก็ให้เข้าสะสม”