คลังรื้องบฯลุยโปรเจ็กต์ด่วน เร่งฟื้นเชื่อมั่นเอกชนแก้เกมลงทุนหด

รัฐมนตรีคลังเปิดแผนอุ้มเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤต ปัดฝุ่นโครงการในสต๊อกสภาพัฒน์ 3 ล้านล้านบาท เร่งใช้งบฯ 1.57 แสนล้านแบบเร่งด่วน เทงบฯลงทุน “ระบบน้ำ-ถนน-สนามบิน” แก้โจทย์เศรษฐกิจทั้งภาคเกษตร-ท่องเที่ยว-ภาคผลิต เพิ่มขีดแข่งขันประเทศ พ่วงมาตรการจ้างงาน ใส่เงินกองทุนหมู่บ้าน SML รัฐบาลเดินแผนหารายได้เพิ่มตุนกระสุน ควบคู่เร่งฟื้นเชื่อมั่น “ลงทุนเอกชน” หลังหดตัวหนัก ชี้เครื่องยนต์หลัก “อ่อนแรง” พร้อมปรับเงื่อนไขส่งเสริมลงทุนคุม FDI “จีน” ตอบโจทย์สหรัฐ

แผนพยุงเศรษฐกิจไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจัยด้านต่างประเทศส่งผลกระทบทางลบกับทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย จากที่ช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว แต่ไม่เร็วนัก ทำให้รัฐบาลจึงกระตุ้นด้วยมาตรการที่เร็วที่สุด คือการเพิ่มการบริโภค นำมาสู่การเติมเงินให้ประชาชน (ดิจิทัลวอลเลต)

แต่วันนี้สถานการณ์ภายนอกจากมาตรการภาษีสหรัฐเข้ามามีผลกระทบ โดยเฉพาะเรื่องการส่งออก ซึ่งแปลว่าผู้ส่งออก ผู้ผลิต และแม้กระทั่งคนที่ทํางานอยู่ในบริษัท หรือองค์กรที่เป็นผู้ผลิตก็จะได้รับผลกระทบด้วย หมายความว่าอาจจะมีผู้ที่ไม่มีงานทำ แม้ไตรมาสแรกจีดีพีโต 3.1% แต่คาดว่าปี 2568 จะเติบโตระดับ 1.2-2% เท่านั้น

ในส่วนของภาคส่งออกที่ถูกผลกระทบโดยตรง ก็ต้องมีมาตรการช่วยเหลือ โดยสิ่งที่เขาต้องมี ก็คือ เงินทุนหมุนเวียน ซึ่งเราได้พูดกับสถาบันการเงินหลายแห่ง เตรียมมาตรการไว้ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นมาตรการที่ธนาคารสามารถช่วยได้เลย ไม่ว่ามาตรการการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ในรูปแบบต่าง ๆ อันนี้อาจจะไม่ต้องใช้งบประมาณรัฐเท่าไหร่ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทําคู่ขนานไป

แก้โจทย์ “เกษตร-ท่องเที่ยว”

รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า ในส่วนของภาครัฐ ต้องมีการทําอะไรบางอย่างเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งบประมาณ อย่างการทบทวนงบประมาณปี 2568 ว่ามีอะไรบ้างที่จะช่วยเหลือ ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งพบว่ามีงบฯ เหลืออยู่ 157,000 ล้านบาท จึงคิดว่าควรจะเอางบฯ นี้มาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ประเทศไทยพูดกันเสมอ ในการปรับปรุงเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการผลิต สนับสนุนความสามารถในการแข่งขัน ยกตัวอย่าง เช่น เรื่องน้ำเดี๋ยวท่วม เดี๋ยวแล้ง ทําให้ผลผลิตการเกษตรเสียหาย มีถนนที่ทําให้คนเดินทางไม่สะดวก โลจิสติกส์ลำบาก ถนนบางส่วนที่วันนี้ไม่อยู่ในสภาพใช้งาน ทําให้การท่องเที่ยวไม่สะดวก

“วิธีคิดของเราคือ ดูว่าอะไรที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในวันนี้ นอกเหนือจากการส่งออกแล้ว ก็จะพบว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศก็คือภาคเกษตรกรรม ดังนั้น ก็คิดว่าควรจะต้องมาทำ”

ADVERTISMENT

เทงบฯ น้ำ-ถนน-สนามบิน

สำหรับโครงการที่จะผลักดันใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ต้องมีวัตถุประสงค์ ได้แก่ 1.เพื่อการแก้ไขเรื่องน้ำ ทั้งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค หลายพื้นที่ยังมีปัญหา โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เป็นต้น และน้ำเพื่อเกษตรกรรม นอกจากจะมีน้ำให้ใช้แล้ว ก็ต้องป้องกันไม่ให้ท่วมง่าย ๆ หรือแล้งง่าย ๆ ด้วย และแหล่งน้ำเพื่ออุตสาหกรรม เพราะวันนี้ไปชวนนักลงทุนมาเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะอยู่รอบ ๆ กรุงเทพฯ และในพื้นที่ EEC รวมถึงชลบุรี ปราจีนบุรี ก็จะต้องทําเป็นโครงการระยะกลางถึงยาว เพื่อจะดึงแหล่งน้ำมาใช้ในบริเวณนี้ ทำต่อเนื่องช่วงปี 2569-2571

2.ถนน หรือโลจิสติกส์ เน้นโครงการระยะสั้นที่ต้องใช้งบฯ ปีนี้ไปถึง 1 ปีครึ่งจากนี้ไป รวมสนามบินบางแห่งที่ยังไม่เรียบร้อย และ 3.เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ส่งออก รวมถึงโครงการที่ทำให้เกิดการจ้างงาน อย่างเช่นโครงการ SML กองทุนหมู่บ้านที่มีโครงการจะทำกันอยู่แล้ว เป็นต้น

รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า โครงการในส่วนของภาคการท่องเที่ยวก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญ เพราะวันนี้ท่องเที่ยวก็เป็นอีกเครื่องจักรสำคัญของไทย ซึ่งสถานการณ์โลกเป็นเช่นนี้ โดยธรรมชาตินักท่องเที่ยวอาจจะน้อย ดังนั้น จึงต้องมาปรับ หากนักท่องเที่ยวจะมาเท่าเดิมหรือไม่มากขึ้น ก็ต้องทําให้อยากมา หรือทำให้เขาใช้เงินมากขึ้น ทำให้สะดวกมากขึ้น หรืออยู่นานขึ้น อย่างเช่น สนามบินบางแห่งยังไม่เรียบร้อย หรือสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งห้องน้ำไม่สะอาดเลย ก็ไปทบทวนมา พวกนี้ทําได้เลย ใช้แรงงานในไทย ใช้ของในไทย จ้างกันอยู่ภายใน

ปัดฝุ่นโครงการ 3 ล้านล.

นายพิชัยกล่าวว่า โครงการเหล่านี้ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ เพิ่งคิด แต่ส่วนใหญ่มีอยู่ในแผนที่เสนอมาอยู่ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เพียงแต่ว่ายังไม่ได้รับการจัดสรรงบฯ ปี 2568-2569 ดังนั้น จะดึงพวกนี้ขึ้นมา ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วก็จะเชื่อมโยงกับงบประมาณปี 2569 ที่กำลังเข้าสภาผู้แทนราษฎรด้วย

“ทั้งนี้ ปกติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในต่างจังหวัด ทุกคนก็เสนอแผนเข้ามาอยู่แล้วในระดับจังหวัดขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วทุกอย่างก็มารวมอยู่ที่สภาพัฒน์ ก็จะเป็นเรื่องน้ำ ถนน รถไฟรางคู่ ที่เสนอมา เท่าที่ไปดูมียอดกว่า 3 ล้านล้านบาทที่อยู่ในตะกร้า ก็จะดึงขึ้นมาดูว่าอันไหนควรทํา แล้วทําเร็ว ทําได้ก่อน ใช้เงินก่อน”

โดยจะมีคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ ซึ่งจะมีทั้งโครงการที่อยู่กับสภาพัฒน์แล้ว และที่ส่งขึ้นมาใหม่มากพอสมควร ก็ต้องกลั่นกรองดูว่าจะไปใช้ตรงไหนก่อน คาดว่าจะสรุปภายในเดือนมิถุนายนนี้

“ขอให้เป็นโครงการที่อยากจะทําให้เสร็จภายในปีหน้า โดยที่จะต้องทำสัญญาให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นปีงบประมาณ ส่วนการก่อสร้าง การทําอะไร ก็แล้วแต่ ไปจบปีหน้าก็ได้”อย่างไรก็ดี นอกจากงบประมาณปี 2568 ที่มีการปรับแล้ว ก็ต้องไปดูในงบประมาณปี 2569 ที่กำลังเข้าสภาด้วย จะเห็นว่ามีโครงการพวกนี้อยู่ แต่วงเงินอาจจะยังไม่ได้มาก ดังนั้น ระหว่างนี้ที่งบฯ กําลังเข้าสภา ก็คงต้องไปกลั่นกรองกันดู ว่าสถานการณ์อย่างนี้จะปรับงบฯ อย่างไร

“ต้องไปดูว่าจะเลื่อนตัวไหนลง เอาตัวไหนมาแทนตรงนี้ จะได้ต่อเนื่องไป”

ปฏิรูปภาษี-หารายได้เพิ่ม

สำหรับสถานการณ์ด้านการคลังนั้น นายพิชัยกล่าวว่า ในเรื่องรายได้ปีนี้คิดว่าคงเก็บได้ตามเป้าหมาย แต่ก็ต้องมาคิดเพื่อความมั่นคงของประเทศ พิจารณาถึงในอนาคตด้วย โดยยอมรับว่ามีความจำเป็นต้องปฏิรูปภาษีให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ ต้องคํานึงถึงผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย จังหวะที่เหมาะสม เพราะคําว่าเป็นประเทศ ถ้ารัฐบาลลําบากประชาชนก็จะลําบาก หรือถ้าประชาชนลําบาก สุดท้ายก็หนีไม่พ้นรัฐบาลก็จะลําบากด้วย ดังนั้น ต้องทํางานไปด้วยกัน

“วันนี้เราเก็บภาษีได้ในอัตราที่ลดลง จากเดิมที่เก็บได้ 17-18% ของจีดีพี แต่ปัจจุบุันอยู่ที่ 14% ของจีดีพี ที่เป็นแบบนี้แปลว่าสังคมเปลี่ยนไป รูปแบบของการอยู่ของสังคมเปลี่ยนไป คนไม่ได้ค้าขายเหมือนเดิม คนค้าขายทางออนไลน์ คนค้าขายอยู่บ้าน บางอันอยู่นอกระบบเยอะ ก็แปลว่าเราคงจะทําให้เกิดความยุติธรรม และทําให้เรียบร้อยให้ได้”
ส่วนการขยายเพดานหนี้ ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าตอนนี้หนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับ 64% ของ GDP ซึ่งกําลังดูสถานการณ์อยู่ หากเศรษฐกิจเริ่มกระเตื้องก็อาจจะคิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่ก็มาดูว่าจะคิดอย่างไรต่อไป ซึ่งจริง ๆ เพดานหนี้ถ้ากำหนด 70% คือระดับที่ไม่ควรเกิน เพราะจะทําให้ฐานะการเงินดูไม่แข็งแรง ความสามารถในการชําระน้อย แต่ถ้าสามารถทําให้เศรษฐกิจเข้มแข็งได้ก็จะเป็นคนละเรื่อง

รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า หากเศรษฐกิจโตขึ้น หนี้ก็จะลดลงได้ด้วย ซึ่งขนาดของเศรษฐกิจก็หมายถึงรายได้ของรัฐบาลด้วย โดยรัฐบาลมีความสามารถจะหารายได้เยอะ หลัก ๆ มาจาก 2 ทาง คือภาษีและการลงทุน

เร่งฟื้นเชื่อมั่นเอกชนลงทุน

อย่างไรก็ดี นายพิชัยกล่าวว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาก็มีการเติบโตที่ชะลอลงต่อเนื่องตลอด 15 ปี จากอัตราโตระดับ 10% ในอดีตสู่ระดับเพียง 1.9% ในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญก็มาจากการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลง โดยในอดีตที่ผ่านมาสัดส่วนการลงทุนภาคเอกชนสูงถึง 40% แต่วันนี้เหลือเพียง 20% ของจีดีพี

“จริง ๆ แล้วการลงทุนภาคเอกชนเป็นเรื่องสําคัญที่สุด ดูแล้วตัวเลขฟ้องชัด ปัจจุบันการลงทุนของภาคเอกชนน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจ คืออยู่ที่ประมาณ 20-22% ขณะที่ในอดีตเคยสูงถึงระดับ 40% ของจีดีพี ตอนนั้นเอกชนที่ลงทุน ในส่วนของต่างประเทศก็มาเยอะ แล้วผู้ประกอบการไทยก็ลงทุนร่วมกับต่างชาติ เป็นซัพพลายเชนของเขา การลงทุนก็เลยสูง ทำให้เกิดการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้า และ อื่น ๆ”

ดังนั้น หากประเทศไม่เข้ามาลงทุน การลงทุนต่อเนื่องในประเทศก็จะไม่เกิด เพราะจริง ๆ แล้วอุตสาหกรรมในประเทศที่เกิดขึ้น เพราะมีจุดเริ่มต้นจากการลงทุนของต่างประเทศ เช่น กรณีอุตฯ รถยนต์ที่เกิดก็มาจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน ก็ทำให้เกิดอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตามมา รวมถึงอุตสาหกรรมพลังงาน เมื่อก่อนถ้าไม่มีต่างชาติลงทุน คนไทยจะทําโรงกลั่นเป็นไหม จากนั้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็ตามมา บริษัทไทยก็เข้ามาอยู่ในกลางน้ำ ปลายน้ำ ทำให้เริ่มมีขีดความสามารถ

นายพิชัยกล่าวว่า นอกจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่จับต้องได้ ยังต้องมีการลงทุนสิ่งที่จับต้องไม่ได้ คือปัญหาที่ทําให้เกิดความสะดวกในการทํางาน (Ease of Doing Business) ซึ่งต้องเร่ง เพราะวันนี้นักลงทุนเข้ามาแล้ว ส่วนอีกเรื่องก็คือคุณภาพของคน ที่ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งจะต้องสนับสนุน ในการที่จะทําให้เด็กหรือแรงงานในประเทศมีความสามารถที่ตรงกับความต้องการของนักลงทุนหรือธุรกิจ อย่างที่ทำไปบ้างแล้วคือ “ODOS” ที่เป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้กับบุคลากร

รื้อนโยบาย BOI เร่งดึงลงทุน

นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องการส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เวลานี้ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนดูนโยบาย เพราะหลายปีที่ผ่านมา เวลาไปชวนนักลงทุนต่างชาติมาก็หาไม่ค่อยได้ ความสนใจยังน้อย ยังแผ่ว เพราะอาจติดปัญหาหลายเรื่อง ทําแล้วมีปัญหาเยอะก็เลยเข้ามาน้อย ลงทุนน้อย หรือเกิดน้ำท่วม เขาก็ย้ายฐานผลิต เป็นปัญหาภายในที่คุยกันไม่ลงตัว ต่างชาติก็เลยมาน้อย

แต่วันนี้ถึงจุดแล้วที่เขาคิดว่าน่าจะมาเมืองไทย ขณะที่เราก็ต้องปรับเรื่องกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น เรื่องที่ดินมีแผนพัฒนาที่ดินเพื่อให้เขาใช้ได้ไหม ต้องทําสิ่งต่าง ๆ เรื่องไฟฟ้ามีพอใช้หรือไม่ แล้วราคาเป็นอย่างไร เรามีการปรับมาต่อเนื่อง ทําให้มันดีขึ้นเขาก็มาเอง

“การเรียกความเชื่อมั่นก็คือต้องปรับปรุงประสิทธิภาพภายในประเทศให้ได้ ถ้าเราปรับไม่ได้ก็ไม่มีใครมา” รัฐมนตรีคลังกล่าว

ปรับเงื่อนไขคุม FDI “จีน”

นายพิชัยกล่าวเพิ่มถึงกรณีกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาลงทุนเพื่อส่งออก จนทำให้ประเทศไทยเกินดุลสหรัฐ ว่า สําหรับเรื่องจีน ต่อไปก็ต้อง Selective มากขึ้น โดยที่จะเน้นส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวกับนวัตกรรม และต้องเป็นนวัตกรรมล่าสุดที่ดี ไม่ใช่เป็นนวัตกรรมเก่า คือต่อไปเราจะเลือกมากขึ้น และบริษัทไหนที่ไม่ใช่ก็ไม่เอา

“เดี๋ยวนี้เราเลือกมากแล้ว ว่าประเภทไหนที่เราอยากให้มา ประเภทไหนถ้าคิดว่าจะเริ่มหมดยุคแล้ว แล้วอีกเรื่องที่จะต้องให้บีโอไอพิจารณาคือ โรงงานที่เข้ามาผลิตขนาดนี้ แล้วจะขายใคร นอกจากขายคนไทยบางส่วน แล้วขายใครบ้าง ตลาดอยู่ที่ไหน ขายได้แน่นะ ถ้าเขาบอกขายได้แบบนี้ก็โอเค จากที่เมื่อก่อนถ้าบอกว่าส่งออก เราก็ไม่เคยถามเลยว่าขายที่ไหน แต่วันนี้ต้องถามว่าส่งขายตลาดที่ไม่ใช่ประเทศอเมริกาเท่าไหร่ อเมริกาเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้จัดการ เพราะวันนี้มีประเด็น ถ้าส่งขายอเมริกามากก็อาจจะต้องทํางานหนักหน่อย”

รัฐมนตรีคลังยอมรับว่า การเข้มงวดเรื่องการส่งเสริมการลงทุนของจีนก็อาจทำให้ตัวเลข FDI จากจีนได้ลดลงนิดหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้กิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเป็นโครงการที่ใช่ และประเทศไทยได้มูลค่าเพิ่มอะไรจากการที่เขามาลงทุน นอกเหนือจากการจ้างแรงงาน เขามาสร้างกําลังการผลิตในประเทศไทยเรื่องอะไรบ้าง

“วันนี้ไม่ใช่แค่โลคอลคอนเทนต์อย่างเดียว ใช้แรงงานไทยเท่าไหร่ รวมทั้งต้องมีการเทรนคนของเราด้วย เช่นบางอย่างบอกเราทําไม่ได้ ผมก็บอกงั้นขอเชิญชวนเป็นจับคู่ให้ เป็นพาร์ตเนอร์กับคนไทยไหม เพราะถ้าพัฒนาตรงนี้เราก็จะได้สร้างให้คุณได้”

แจงเวียดนามเจรจาก่อนไทย

รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าแผนการเจรจากับสหรัฐเรื่องภาษี คิดว่าในรายละเอียด ทางสหรัฐในระดับทํางานรู้หมดแล้วว่าเราเสนออะไร ถึงเป็นที่มาที่บอกว่าโอเค แต่จะเหลือประเด็นอยู่ 2 เรื่อง คือประเทศที่เข้าแถวรอคุยเยอะเหลือเกิน เขาก็ทํางานไม่ทัน ผมว่าจะเรียกใครก่อนเรียกใครหลัง หรือเรียกไม่ทัน หรือบางกลุ่มเลื่อนไหม เลื่อนเวลา ก็คงคิดหลายอย่าง และจริง ๆ เขาก็ดูปัญหาเรา อาจจะไม่ Complicate เหมือนบางประเทศ ซึ่งต้องเจรจาก่อนอย่างญี่ปุ่น

ส่วนกรณีเวียดนามที่มีเจรจากับสหรัฐก่อนไทย ก็เพราะเวียดนามก็ถือว่า Complicate เพราะเวียดนามก็มีต่างประเทศเข้าไปลงทุนเยอะ โดยเฉพาะจีน แล้วก็ส่งออกไปอเมริกาเยอะ ก็อาจมีปัญหาที่เขาอาจจะติดใจอยู่ รวมถึงสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในเวียดนามจริง คือสวมสิทธิ แล้วส่งออกไปอเมริกา ซึ่งกรณีนี้เทียบกับของประเทศไทยแล้วยังถือว่าน้อยกว่า ของไทยอาจจะมีจํานวนชิ้นเยอะ แต่โดยมูลค่าแล้วไม่เยอะเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยก็เข้มงวดเรื่องปัญหาการสวมสิทธิ เชื่อว่าจากนี้ไปยอดจะหายไปพอสมควร ซึ่งก็จะส่งผลให้ยอดส่งออกลดลงด้วย แต่ยอดส่งออกลดลงไม่ได้มีการผลิตในไทย ก็ไม่ได้ถือว่ามีอะไรน่าห่วง