มหากาพย์คดี”วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์” ป่วนครอบครัว “ณรงค์เดช” ระส่ำ ผู้เป็นพ่อ “เกษม” ลั่นผมสุขภาพแข็งแรง ยันมีการปลอมลายเซ็นต์ตน

ศึกแย่ง”บ.วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์” ป่วนครอบครัว”ณรงค์เดช”ระส่ำ ผู้เป็นพ่อ”เกษม” นำทีม 2ลูกชายพร้อมทนายเบเคอร์ ฯเปิดบ้านแถลงพร้อมหอบเอกสาร ยืนยันข้อเท็จจริงพร้อมพยานหลักฐาน นายเกษมแจงปมนายณพ ลูกชายคนกลาง-แม่ยาย”คุณหญิงกอแก้ว” อ้างสัญญาปลอม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา นายเกษม ณรงค์เดช ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น และปัจจุบันยังคงดำรงตำแหน่ง”ประธานกิตติมศักดิ์” กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น และลูกชายได้แก่ นายกฤษณ์ ณรงค์เดช (ลูกชายคนโต) และนายกรณ์ ณรงค์เดช (ลูกชายคนเล็ก) พร้อมด้วยนายปิยะ ครุฑเดชะ ทนายความจากสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ได้เปิดบ้านแถลงข่าวพร้อมเปิดใจให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน และนำพยานหลักฐานมาเปิดเผยด้วย

โดยมีเอกสารแถลงข้อเท็จจริงที่ให้แก่สื่อมวลชน ได้ระบุถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีหุ้นบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่กำลังเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงข่าวเกี่ยวกับคดีอาญาที่นายเกษม ฟ้องร้องดำเนินคดีเอากับ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา นายณพ ณรงค์เดช (ลูกชายคนกลาง) และนายสุรัตน์ จิรจรัสพร ที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปอย่างมาก

นายปิยะ ได้เล่าถึงเรื่องราวของบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด กับครอบครัวณรงค์เดช ที่มีปัญหาฟ้องร้องกันในปัจจุบัน (ตามเอกสารประกอบแถลงข่าวนี้) ว่า เริ่มต้นในช่วงปี 2558 จากการที่นายณพได้ขอให้ครอบครัวร่วมลงทุนเข้าซื้อหุ้น บริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อให้ธุรกิจ วินด์เอ็นเนอร์ยี่ เป็นอีกธุรกิจหนึ่งของครอบครัวณรงค์เดช เมื่อครอบครัวตกลงร่วมลงทุนตามที่นายณพชักชวน ครอบครัวได้จัดหาเงินและทรัพย์สินหลายรายการให้แก่นายณพ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวระหว่างนายณพกับสมาชิกในครอบครัว มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน

นอกจากนี้นายณพยังใช้ชื่อเสียงของกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น และชื่อเสียงของนายเกษม ไปอ้างอิงในการดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ต่อบุคคลภายนอกว่าการดำเนินการเหล่านั้นเป็นการดำเนินการภายใต้กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น ทั้งสิ้น และยังได้ใช้ชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดชไปยืมเงินคนอื่นอีกด้วย โดยที่ไม่ได้รายงานหรือชี้แจงรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับการลงทุนให้ครอบครัวได้รับทราบเลย

จนกระทั่งในช่วงต้นปี 2561 สมาชิกในครอบครัวอันประกอบไปด้วยนายเกษมและนายกฤษณ์ ได้รับหมายศาลว่าตนถูกฟ้องเป็นคดีอาญาร่วมกับนายณพ ฐานโกงเจ้าหนี้ สืบเนื่องจากการที่นายณพ ไปผิดสัญญาซื้อขายหุ้นและไม่ชำระเงินค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ทั้งยังดำเนินการให้มีการยักย้ายจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นวินด์เอ็นเนอร์ยี่ออกไปยังที่ต่าง ๆ ซึ่งการถูกฟ้องร้องเป็นคดีความดังกล่าวสร้างความกังวลและนำมาซึ่งความเสียหายต่อชื่อเสียงของครอบครัวณรงค์เดชเป็นอย่างมาก ครอบครัวจึงได้ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

หลังจากถูกฟ้องไม่นาน นายเกษมได้รับคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลฮ่องกง ห้ามมิให้บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด (บริษัทในฮ่องกง) โอนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ไปยังบุคคลอื่น และจากคำสั่งดังกล่าวทำให้นายเกษมทราบว่าตนเป็นผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดของบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด เมื่อทราบความดังกล่าวนายเกษมจึงต้องการที่จะปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลฮ่องกงโดยเคร่งครัด เนื่องจากไม่ต้องการให้ปัญหาที่เกิดขึ้นบานปลายออกไปอีกและต้องการที่จะแก้ไข ตลอดจนหาข้อยุติในเรื่องนี้ให้เป็นไปได้ด้วยดีสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของครอบครัว เจ้าของหุ้นเดิม และผู้ถือหุ้น
อื่น ๆ ในบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ด้วย นายเกษมจึงขอให้บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ทำการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อบอกกล่าวความประสงค์ของตนให้กับผู้ถือหุ้นและกรรมบริษัทฯ ทราบ

แต่ยังไม่ทันได้มีการเรียกประชุมกลับปรากฏว่า คุณหญิงกอแก้ว นายณพ และนายสุรัตน์ ได้ร่วมมือกันใช้เอกสารปลอม อันได้แก่สัญญาแต่งตั้งตัวแทนที่อ้างว่าได้ทำขึ้นระหว่างคุณหญิงกอแก้วกับนายเกษม ฉบับลงวันที่ 25 เมษายน 2559 โดยมีนายณพ ลงนามเป็นพยาน สำเนาตราสารการโอนหุ้น และสำเนาใบสำคัญการซื้อขายหุ้นระหว่างนายเกษมกับคุณหญิงกอแก้ว เพื่อดำเนินการโอนหุ้นทั้งหมดที่นายเกษมถืออยู่ในบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ไปให้คุณหญิงกอแก้ว เพื่อขัดขวางไม่ให้การดำเนินการของนายเกษมที่ตั้งใจไว้ดังกล่าวข้างต้นบรรลุผล ซึ่งในกรณีนี้นายเกษมได้ยืนยันอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่าเอกสารทั้งหมดล้วนเป็นเอกสารปลอมทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผลใดที่ตนจะต้องไปเซ็นสัญญาดังกล่าวตกลงเป็นตัวแทนให้กับคุณหญิงกอแก้ว

นอกจากนี้นายเกษมยังได้นำลายมือชื่อที่แท้จริงของตนและรายงานการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรมและผู้เชี่ยวชาญของต่างประเทศเปรียบเทียบกับลายมือชื่อปลอมให้ผู้สื่อข่าวดู แต่อย่างไรก็ดี ในระหว่างการดำเนินคดีความต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ นายเกษมกลับพบอีกว่ามีเอกสารปลอมอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหุ้นใน บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่มาพบในภายหลังอีกหลายฉบับ หนึ่งในนั้นคือสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ที่บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอร์ยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขายหุ้นให้กับนายเกษม ในราคาเพียง 2,400 ล้านบาท ก่อนที่หุ้นจะถูกโอนต่อไปอีกทอดยังบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด ที่ฮ่องกง ทั้งที่หุ้นจำนวนเดียวกันดังกล่าว นายณพ ได้เคยตกลงซื้อจากเจ้าของเดิมเป็นจำนวนเงินถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 21,000 ล้านบาท นายเกษมจึงตกลงใจที่จะยุติการดำเนินคดีที่ฮ่องกง เพราะเมื่อสัญญาโอนหุ้นจากต้นทางเป็นสัญญาปลอม การดำเนินการเรียกร้องสิทธิใด ๆ เอากับหุ้นที่ได้มาหลังจากนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป นายเกษมยืนยันว่าหลังจากนี้จะดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดที่ปลอมลายมือชื่อของตนอย่างถึงที่สุด

เมื่อการจัดการและการบริหารบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด ทั้งหมดที่นายณพดำเนินการมาเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เกิดปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด ท้ายที่สุด บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด คงไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างที่นายณพได้เคยโฆษณาเอาไว้ได้

สำหรับคดีอาญาที่นายเกษม ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว นายณพ และนายสุรัตน์ ในฐานความผิดร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ครอบครัวณรงค์เดชและทนายความได้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า คดีความดังกล่าวเป็นคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและศาลใช้เวลาในการไต่สวนพยาน 2 วัน ไม่ใช่หลายเดือนตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งคำพิพากษาของศาลก็ไม่ได้กล่าวว่าลายมือชื่อของนายเกษมในเอกสารพิพาทเป็นลายมือชื่อจริง โดยนายเกษมได้มอบหมายให้ทนายความเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลแล้ว ทั้งนี้ สำหรับลายมือชื่อที่ปรากฏในเอกสารทั้งหมดนั้น นอกจากนายเกษมจะยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของศาลยุติธรรมที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์เอกสารมานานถึง 48 ปีติดต่อกัน ได้มีความเห็นยืนยันว่าลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารเหล่านั้นไม่ใช่ลายมือชื่อของนายเกษม ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์กว่า 55 ปี และเป็นผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อในคดีที่โด่งดังจำนวนมากทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ตามหลักมาตรฐานสากลกว่า 190 หน้าพร้อมภาพสีกราฟฟิกเทียบเคียงตัวอย่างลายมือชื่อที่แท้จริงของนายเกษม จำนวน 52 ลายมือชื่อ กับลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารปลอมต่าง ๆ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่นายเกษม กล่าวว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวช่วงที่ผ่านมา “ไม่ตรง” กับข้อเท็จจริง สิ่งที่เขา(นายนพ) ทำอยู่ปัจจุบัน ทำให้ครอบครัวเสียหายชื่อเสียงรวมถึงบุคคลอื่นก็เสียหายไปด้วย และยังทำให้มีความเข้าใจผิดเกิดข่าวต่างๆนานาโดยไม่มีข้อเท็จจริง ขณะที่ครอบครัวทำกิจการการค้ามาเป็นเวลานานและสร้างชื่อเสียง และมีกิจการมากกว่า 40 บริษัท ซึ่งมีผลดำเนินงานที่ดีมาตลอด แม้ตอนนี้จะเลิกบริหาร โดยมอบหมายให้ลูกๆบริหาร ขณะที่ตนเองมีการออกกำลังกาย เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

“1. ผมขณะนี้อายุ 83 ปี และปีหน้าจะอายุ 84 ปี เวลาไปตีกลอฟ์ เขาบอกไม่เคยเห็นคนอายุ 84 ซึ่งออกมาแถลง เพราะไม่อยากให้คนเข้าใจผิดจากที่มีข่าวออกไป ผมขอยกตัวอย่างบางส่วนที่บอกว่า มีสติสัมปชัญญะ ไปไม่รอด หลงลืมหรือเปล่า ผมจึงออกมาแถลงจากปากคำผมเอง ผมตั้งใจไปตรวจสุขภาพเพื่อให้หมอยืนยัน(พร้อมนำใบรับรองแพทย์ 2แบับออกมายืนยัน) อันนี้ผมตั้งใจทำ แต่ผมไม่ได้หวังให้อยู่ครบ 100 ปี แต่ตั้งใจทำ เพื่อจะบอกว่าสมองผมใช้ได้ 2. ผมขอบอกว่า ลายเซ็นต์ต่างๆนานานั้น ไม่ใช่ของผม “นายเกษม กล่าว

โดยนายเกษม แจกแจงว่า เอกสารที่กล่าวอ้างว่าเป็นลายเซ็นต์ของตนนั้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่ และเอกสารที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่รายงาน เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งทางฝ่ายตนก็มีเอกสารพร้อมโชว์ว่ามีการตรวจสอบลายเซ็นต์ปลอมอย่างไรด้วย นอกจากนี้ยังพบมีการปลอมแปลงเอกสารต่างๆด้วย ในกิจการ 45 บริษัทที่แบ่งให้ลูกหลานดูแล

“ถ้าไปดูลึกๆจริงๆ ก็มีเอกสารแปลกปลอมอยู่เยอะ ผมอายุมากจขึ้น ถึงจะออกจากธุรกิจ ผมก็ยังพยายามฝึกสมอง และปฏิบัติงานได้ตามปกติ”นายเกษมกล่าวยืนยัน พร้อมให้ลูกๆที่มาร่วมแถลงให้อธิบายในประเด็นสำคัญๆในเอกสารแถลงข้างต้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงลายเซ็นต์ในสัญญาที่มีการแต่งตั้งคุณหญิง กอแก้ว บุญยะจินดา (แม่ยายของนายนพ) ว่า ลายเซ็นต์ในเอกสารสัญญานั้น ปลอมแน่นอน ซึ่งตนทำงานเป็นผู้บริหารมากว่า 40 บริษัทของครอบครัว เป็นเวลา 50 ปีแล้ว ตนจะไปทำสัญญาแบบนั้นทำไม ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน

นายกฤษณ์ กล่าวว่า หลังจากที่นายนพ นำเงินของครอบครัวเข้าไปลงทุนในบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด ทางครอบครัวก็ได้มีการสอบถาม แต่ก็ได้คำตอบที่ไม่ชัดเจน และเป็นการตอบบ่ายเบี่ยง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์มีหมายศาลส่งมาที่บ้านเมื่อต้นปีนี้ ซึ่ง ตั้งแต่เกิดปัญหาขึ้นมา ทางครอบครัวได้พยายามเรียกนายนพมาเจรจา ซึ่งมีผู้ใหญ่มาร่วมเจรจาด้วย แต่ก็ไม่สำเร็จจนถึงวันนี้ โดยนายนพ มาที่เจรจาที่บ้านครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมิ.ย. 61 ที่ผ่านมา

“บ้านผมไม่ติดเงินใคร เราทำอะไรโปร่งใสหมด”นายกฤษณ์กล่าว

นายปิยะ กล่าวว่า เอกสาร ได้แก่ สัญญาแต่งตั้งตัวแทน และใบตราสารโอนหุ้นของโกลเด้นฯ นายเกษมยืนยันไม่ใช่ลายมือเซนต์ของตัวเอง พร้อมกันนี้ก็ได้ส่งลายเซ็นต์ต่างๆที่ฝ่ายคุณหญิงกอแก้ว อ้างนั้น ไปให้ผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรม ทั้งในและต่างประเทศ ทำการตรวจสอบลายเซ็นต์ ก็พบว่า ไม่ตรงกับลายเซ็นต์จริงของนายเกษม จึงได้นำเอกสารดังกล่าวไปยื่นต่อศาลที่ฮ่องกง ซึ่งศาลทางนั้นบอกว่า พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องดำเนินการต่อไปในชั้นอุทธรณ์

“เป็นแค่ชั้นไต่สวนมุลฟ้อง ก็ยกฟ้องก่อน เราก็จะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อไป”นายปิยะกล่าว

ด้านนายกรณ์ ซึ่งเคยนั่งเป็นกรรมการอยู่ในบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด มีอำนาจในการลงลายมือของบริษัทนี้คู่กับนายนพ กล่าวว่า พบความไม่ปกติ ทุกครั้งที่ตนเดินทางไปต่างประเทศ จะมีการเรียกประชุมบอร์ดเกิดขึ้น ทำให้ตนไม่ได้อยู่ร่วมประชุมบอร์ด จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนี้เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 61
ส่วนแผนกที่จะนำบริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ นายปิยะ กล่าว่า แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์คดีขึ้น ซึ่งยังไม่มีข้อยุติ ก็จะเป็นอีกประเด็นที่ทำให้เข้าตลาดหุ้นไม่ได้ ส่วนคดีที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนนั้น หากประเมินจากเคสปกติจะราว 2 ปี

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
.
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!