ส่อง 4 หุ้นสะดุดเทรดวอร์ลาม ต่างชาติปรับเรดาร์หุ้นไทย

3 โบรกฯชี้สารพัดปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย เทรดวอร์ออกฤทธิ์หนักสุด ตามด้วยหน้าตารัฐบาลใหม่ ส่งซิกกำไร บจ.ไตรมาส 2 ไม่สวย ต่างชาติลดระดับความน่าสนใจในตลาดหุ้นไทย ASP ส่อง 4 กลุ่มหุ้นติดบ่วงเทรดวอร์ “ปิโตรฯ-ยานยนต์-ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์-อสังหาฯ”

นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ตอนนี้ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน (เทรดวอร์) เป็นประเด็นเชิงลบที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกมากที่สุด รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ คือ ภาพรวมกำไร บจ.ไตรมาส 1/62 ออกมาไม่ดีนัก ส่งผลให้มีโอกาสจะเห็นการปรับลดประมาณการกำไร บจ.ปี 2562 ลง และจะส่งผลให้เป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ปี 2562 ต้องถูกปรับลดลงไปด้วยเช่นกัน ทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยลดลงไปด้วยในสายตานักลงทุนต่างชาติ

“สัญญาณความกังวล ได้แก่ กำไร บจ.ไตรมาสแรกที่ออกมาไม่ดีนัก รวมทั้งยังมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบ จึงมองว่ายากที่จะเห็นกำไร บจ.ในไตรมาสถัด ๆ ไปพลิกกลับมาดีขึ้น” นางภัทธีรากล่าว

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นที่ไม่ค่อยสดใส เนื่องมาจากปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ ซึ่งนักลงทุนยังรอความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงคนที่จะมานั่งตำแหน่งในกระทรวงด้านเศรษฐกิจและเสถียรภาพของรัฐบาล ส่วนประเด็นสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ส่งผลให้นักลงทุนโดยรวมชะลอการลงทุน เพื่อประเมินผลกระทบที่จะเกิดกับเศรษฐกิจไทยและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ

“เรามองว่า fund flow (เงินลงทุนจากต่างชาติ) มีโอกาสไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หากการเมืองในประเทศในช่วงอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าเริ่มนิ่ง อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นไทยออกในตอนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการนำเงินลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อนำไปพักไว้ในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมีความผันผวนน้อยกว่า มากขึ้น” นายพิเชษฐกล่าว

สำหรับประเด็นผลประกอบการงวดไตรมาส 1/62 ของ บจ.ที่ออกมา นายพิเชษฐกล่าวว่า ตัวเลขไม่ค่อยดีนัก โดยลดลงประมาณ 10% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว (YOY) และคาดว่าแนวโน้มไตรมาส 2 ตัวเลขยังออกมาลดลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) และ YOY ซึ่งบริษัทเตรียมจะปรับลดประมาณการกำไร บจ.ปีนี้ทั้งปีลง

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP) กล่าวว่า หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ได้แก่ 1.กลุ่มปิโตรฯ-น้ำมัน โดยคาดว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 เนื่องจากจีนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ามาก ทำให้ความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลง 2.กลุ่มยานยนต์ คาดว่าในอนาคตหากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น อาจนำไปสู่สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และจะส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ของประเทศคู่ค้าไทย 3.กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปจีนที่ชะลอตัวลง โดยยอดการส่งออกของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านมาสูงเป็นอันดับ 2 ราว 7.9% ของยอดส่งออกรวม และ 4.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากกำลังซื้อบ้านและคอนโดฯของลูกค้าชาวจีนที่ลดลง ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนอสังหาฯของชาวต่างชาติมีประมาณ 20-30% ของยอดขายรวม