พิษบาทแข็งส่งออกกำไรวูบ! แห่ขายทองราคาขึ้นทุบสถิติ

แฟ้มภาพ
เงินบาทแข็งค่าสุดในภูมิภาค ทุบกำไรส่งออกไทยวูบ 1.7 หมื่นล้านบาท “ศูนย์วิเคราะห์ทีเอ็มบี” ชี้สิ้นปีนี้แข็งค่า 5% “ยาง-อาหารทะเล-เนื้อสัตว์-เครื่องประดับ” อ่วม รายได้หาย 6.6 หมื่นล้านบาท ทองคำราคาพุ่งทำนิวไฮรอบ 6 ปี นักลงทุนแห่ขายทำกำไร-ตัดขาดทุน ธุรกิจค้าทองเร่งส่งออก “ระบายสต๊อก-ตุนเงินสด”

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ข้อมูลจากสิ้นปี 2561 ถึง 6 มิ.ย. 2562 แข็งค่าขึ้นแล้ว 6.18% สูงกว่าทุกสกุลเงินในภูมิภาค อาทิ เงินเยนแข็งค่า 2.58% เปโซแข็งค่า 2.4% รูเปียห์แข็งค่า 1.81% ริงกิตอ่อนค่า 0.25% ดอลลาร์ไต้หวันอ่อนค่า 1.20% เป็นต้น คาดการณ์ว่า ค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2562 จะอยู่ที่ 31.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 5% จากปลายปี 2561

ภาคส่งออกกำไรหด 1.7 หมื่น ล.

ส่งผลกระทบทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของผู้ส่งออกเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ -3.2% จนถึง +4.9% หรือคิดเป็นกำไรจะหายไปประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท

โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมี 3 กลุ่มหลัก 1) ธุรกิจที่เสียประโยชน์ คือกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกและใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลักจะกระทบมากที่สุด รายได้ผู้ประกอบการหายไปกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากระดับปกติ 0.3-3.2% ได้แก่ผลิตภัณฑ์ยางพารา อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และเครื่องประดับ

2) กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์คือ ธุรกิจขายในประเทศและนำเข้าวัตถุดิบเป็นหลัก จะทำให้ค่าใช้จ่ายจากการนำเข้าสินค้าหรือวัตถุดิบที่เป็นเงินต่างประเทศลดน้อยลง 6.2 หมื่นล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้น 0.3-4.9% ได้แก่ เครื่องจักร/ชิ้นส่วน เหล็ก/โลหะ เวชภัณฑ์/เครื่องมือการแพทย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งทอ

3) กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบคือ ธุรกิจที่พึ่งพารายได้จากการส่งออก แต่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตสามารถป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องดื่ม และเคมีภัณฑ์

ราคาทองคำโลกนิวไฮรอบ 6 ปี 

ขณะที่นายธีรเดช สินธพเรืองชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ห้างขายทองทองใบเยาวราช (1988) จำกัด วิเคราะห์ทิศทางราคาทองคำขณะนี้ว่า ยังมีแนวโน้มขาขึ้น จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โลกโดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ, ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน และท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ลง ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นทำนิวไฮที่ 1,411 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ สูงสุดในรอบ 6 ปี และคาดว่าราคาทองคำปีนี้จะปรับตัวไปอยู่ที่ 1,500 เหรียญ/ออนซ์ได้ภายในสิ้นปีนี้

ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ คาดว่าสิ้นปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 22,000 บาท/บาททองคำ หากราคาทองคำโลกปรับตัวไปอยู่ที่ 1,500 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 30.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

“ราคาทองคำในประเทศไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ขณะนี้อยู่ที่ 30.50 บาท/ดอลลาร์ จากต้นปีที่ 32 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากต้นปีเกือบ 2 บาท/ดอลลาร์ ทำให้การเคลื่อนไหวราคาทองคำในประเทศไม่คึกคักมากนัก เพราะเงินบาทที่แข็งค่าเพิ่มขึ้นทุก 10 สตางค์ จะกระทบกับราคาทองคำ 60 บาท/บาททองคำ ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกระทบกับราคาทองคำประมาณ 600 บาท/บาททองคำ”

แห่ขายทองทำกำไร

ราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขณะนี้ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่นำทองคำออกมาขายทำกำไร หรือตัดขาดทุน ขณะที่ร้านทองส่วนใหญ่ที่รับซื้อทองคำในระยะนี้ เตรียมขายส่งออกไปยังต่างประเทศ แทนการนำเข้าเพื่อรักษาสมดุลและสภาพคล่องของสต๊อกทองคำ

นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า หลังราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น บริษัทได้ชะลอการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ขายทองออกเพื่อทำกำไร ในทางกลับกัน บริษัทเตรียมส่งออกทองคำแท่งมากขึ้น เพื่อสำรองเงินสดไว้รองรับนักลงทุนที่จะขายออก

ส่วนคาดการณ์ราคาขายออกทองแท่งในประเทศสูงสุด ปีนี้น่าจะเห็นที่ 20,450 บาท/บาททองคำ และมีแนวโน้มว่าราคาทองคำไทยจะปรับขึ้นได้ต่อเนื่องระยะสั้นอาจเห็นขึ้นไปทดสอบที่ 21,000 บาท/บาททองคำ

เทรดทองคึกคักฟันกำไรเร็ว

การซื้อขายทองคำผ่านสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ได้แก่ Gold Futures กับ Gold Online Futures ช่วงนี้มีการซื้อขายคึกคักเช่นกัน โดยเฉพาะการซื้อขายใน Gold Online Futures ที่ไม่มีปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยนให้ต้องพิจารณา ซื้อขายอิงกับราคาทองคำต่างประเทศได้ทันที นอกจากนี้ ในภาวะที่ราคาทองคำกำลังปรับขึ้น การซื้อขายผ่านสัญญาล่วงหน้ามีตัวคูณคงที่ที่ 300 บาท/สัญญา ทำให้นักลงทุนใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่สร้างผลกำไรกลับมาได้เร็ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่างประเทศ (gold spot) ตั้งแต่ 2 พ.ค. 2562 ถึง 21 มิ.ย. 2562ปรับเพิ่มขึ้น 8.75% จาก 1,275.00 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,386.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาทองคำไทยปรับเพิ่มขึ้น 4.65% จาก 19,350 บาท/บาททองคำ เป็น20,250.00 บาท/บาททองคำ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.147 บาท/ดอลลาร์ จาก 31.982 บาท/ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 30.835 บาท/ดอลลาร์

บาทแข็งฉุดกำไร บจ.

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นคงมีผลกระทบความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) บ้าง แต่การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะทำให้เศรษฐกิจโลกทรงตัวได้ ช่วยลดผลกระทบ แต่ปีนี้ภาพรวมกำไร บจ.ยังเติบโตอยู่ แต่อาจโตระดับเลขตัวเดียว 5-6%และครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะดีกว่าครึ่งปีแรก จาก 1) การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ชัดเจนขึ้น 2) นโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกที่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ทำให้ตลาดทุนกลับมาคึกคัก ขณะนี้มีเงินทุนเคลื่อนย้าย ไหลเข้ามาแล้ว 4-5 หมื่นล้านบาท ทั้งปีน่าจะมีเงินไหลเข้ามา 1 แสนล้านบาท

ทางด้านบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานราคาทองคำ วันที่ 27 มิ.ย. 2562 ว่าราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 13.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากเทรดเดอร์ปรับลดคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือน ก.ค. ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย และประธานเฟดเซ็นต์หลุยส์คัดค้านการลดดอกเบี้ยในระดับดังกล่าว

นอกจากนี้ ทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยังได้รับแรงกดดันเพิ่ม จากความเห็นของนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ที่กล่าวต่อสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเสร็จสิ้นแล้ว “ราว 90%” ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แสดงความมั่นใจเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในการประชุม G20 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงมาทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,401.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะฟื้นตัวขึ้นบ้าง เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆยังมีความไม่แน่นอนสูง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ไปจนถึงผลการเจราจาการค้าระหว่างผู้นำจีนและสหรัฐ