บล.ไทยพาณิชย์คาดศก.ไทยปีนี้โต 3.3% จับตาเฟดคงดบ.ดึงบาทอ่อนค่า

บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินเศรษฐกิจไทยปี62 โต 3.3% ลุ้นรัฐบาลใหม่ ออกมาตรการกระตุ้นในเดือนส.ค. หนุน GDP ไตรมาส 4 โต จับตาเฟดคงดอกเบี้ย ดึงเงินบาทอ่อนค่า คาดครึ่งปีหลังค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 31.5 บาทต่อดอลลาร์ฯ

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) เปิดเผยว่า ทาง SCBS คาดการณ์การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของไทย (GDP) ปี 2562 ไว้ที่ 3.3% โดยมองว่าการออกมาตรการนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะชัดเจนในช่วงเดือนสิงหาคม 2562 จะเป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 ขยายตัวได้ดีขึ้น

ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาทช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 31.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จนถึงสิ้นปี 2562 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มมีความเป็นไปได้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลอยู่ในระดับสูง ยังมีเงินไหลเข้าในตลาดเงินทุนอยู่ และมีโอกาสที่ค่าบาทจะแข็งค่าเพิ่มขึ้น ในกรอบที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจจะเห็นได้ตั้งแต่ต้นช่วงไตรมาส 3 และช่วงดังกล่าวจะเป็นช่วงที่เห็นการแข็งค่าของเงินบาทชัดเจน

หลังจากที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ช่วงวันที่ 1-2 ก.ค. ผ่านไปแล้ว ถ้าเฟดไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้ ค่าของเงินบาทอาจจะมีการอ่อนค่าลงบ้าง โดยสาเหตุของค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด จึงทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศ รวมถึงสงครามการค้าทำให้ค่าเงินในอาเซียนได้รับผลดี

อย่างไรตาม หากสหรัฐฯ กลับมาประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน มูลค่าอีก 3.0 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจไทยอาจจะได้รับผลกระทบในส่วนของภาคการส่งออก ซึ่งขณะนี้ค่อนข้างอยู่ในภาวะที่เปราะบาง เพราะตัวเลขการส่งออกในปีนี้ (2562) ยังติดลบ และคาดว่าปีนี้การส่งออกจะติดลบถึง 2%

“การที่เงินบาทแข็งค่า ยังส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นไทย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับผลกระทบของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือจีน โดยตรง เนื่องจากหุ้นไทยยังมี domestic play (หุ้นที่อิงปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศ) อยู่ค่อนข้างมาก” นายสุกิจกล่าว

สำหรับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นเพราะว่าธปท. เล็งเห็นเสถียรภาพทางการเงินเป็นสำคัญ เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาตั้งแต่ต้นปี และยังคงแข็งค่าที่สุดในภูมิภาค แม้จะมีมาตรการออกมาควบคุมเรื่องของการลดทอนปริมาณการออกพันธบัตร เพื่อช่วยลดการเก็งกำไรในเรื่องของค่าเงินบาทแล้ว แต่ก็ยังมองว่าคงจะไม่ได้ผลในระยะยาวมากนัก ดังนั้นทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของไทยคงจะเป็นไปตามทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของโลก