เงิน​บาท​เปิด​ตลาด​แข็งค่า​ที่​ 30.80 บ./ดอลลาร์​ นักค้าเงินไม่มั่นใจทิศทาง​แบงก์ลดดอกเบี้ย

เงิน​บาท​เปิด​ตลาด​แข็งค่า​ที่​ 30.80 บาท/ดอลลาร์​ นักค้าเงินไม่มั่นใจทิศทาง​แบงก์ลดดอกเบี้ย​-ธปท.คุมตลาดการเงินเพิ่ม

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า​ ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้​ (13​ ส.ค.)​ ที่ระดับ 30.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​ แข็งค่าเมื่อเทียบกับสิ้นวันทำการก่อนหน้าที่ระดับ 30.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​

โดย​ในช่วงนี้ เงินบาทเคลื่อนไหวไปตามภาพความเสี่ยงตลาดทุน เมื่อตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) ก็มักเจอกับแรงขาย เช่นเดียวกันเมื่อตลาดเปิดรับความเสี่ยง (Risk On) ก็จะมีแรงซื้อกลับเข้ามา

“นอกจากนี้ นักค้าเงินส่วนหนึ่ง ยังมีความกังวลถึงทิศทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการกำกับและดำเนินนโยบายทางการเงิน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เงินบาทไม่แข็งค่าลงได้เร็วเหมือนช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าตลาดจะรอความชัดเจนในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการที่ธนาคารพาณิชย์ จะลดดอกเบี้ยตาม ธปท.หรือไม่ ไปจนถึงคำถามว่า ธปท.จะมีนโยบายควบคุมตลาดการเงินเพิ่มขึ้นอย่างไร” ด​ร.จิติพลกล่าว

สำหรับกรอบค่าเงินบาทวันนี้​อยู่​ที่​ 30.75-30.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ​

ดร.จิติพล​ กล่าวว่า​ ในคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หลังจากที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศชะลอการเก็บภาษีนำเข้า 10% กับสินค้าจีนมูลค่าประมาณ 1.6 แสนล้านดอลลาร์ในกลุ่ม โทรศัพท์มือถือ แท็ปแลต คอมพิวเตอร์ ของเล่น ออกไปเป็นวันที่ 15 ธันวาคม และประกาศเตรียมพร้อมเปิดการเจรจาการค้าต่อเนื่องใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ส่งผลให้นักลงทุนย้ายเงินจากสินทรัพย์ปลอดภัยกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง

บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 5.5bps มาที่ระดับ 1.68% เงินเยนอ่อนค่าลง 1.3% ราคาทองคำร่วงลง 0.7% แตะระดับ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ดัชนี S&P500, STOXX50, และ FTSE100 ปรับตัวขึ้น 1.5%, 0.9%, และ 0.3% ตามลำดับ

ฝั่งข้อมูลเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือนกรกฎาคมสูงขึ้น 1.6% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 15% ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานยังคงเร่งตัวได้ 2.2% จากการปรับตัวขึ้นของราคาเสื้อผ้า ตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

สำหรับวันนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน จะเปิดเผยดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญในเดือนกรกฎาคม คาดว่ายอดค้าปลีก (Retail Sales) จะเติบโต 8.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ยอดการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะเพิ่มขึ้น 5.4% ขณะที่ยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) จะขยายตัว 5.8% โดยข้อมูลดังกล่าวกำลังชี้ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนไม่ได้ชะลอตัวลงมากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล