จัดพอร์ตรับงบฯไตรมาส 3

คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน

โดย เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.ไทยพาณิชย์

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ตลาดหุ้นในเดือน ต.ค.เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากบริเวณ 1,600 จุด โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากภายนอก ได้แก่

1) ความคืบหน้าด้านการเจรจา หลังสหรัฐยกเลิกการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนมูลค่ 2.5 แสนล้านเหรียญ ในอัตรา 30% จากเดิม 25% ในวันที่ 15 ต.ค. ซึ่งเป็นกำหนดการเดิม (ล่าสุด จีนมีข้อเรียกร้องเพิ่ม โดยต้องการให้สหรัฐยกเลิกการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.6 แสนล้านเหรียญ ในอัตรา 15% ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 15 ธ.ค.ด้วย ก่อนการเซ็นข้อตกลง สร้างความไม่ชัดเจน และระวังกลับมาเป็นความเสี่ยงให้กับตลาด)

2) การเจรจา Brexit ดูมีความคืบหน้าเช่นเดียวกัน โดยอังกฤษและ EU กำลังอยู่ในระหว่างการร่างข้อตกลง Brexit ที่จะได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย และคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนเส้นตายในวันที่ 31 ต.ค.ส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง

และ 3) เข้าสู่ช่วงรายงานผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทในสหรัฐ อาทิ J.P. Morgan, Citigroup, Johnson & Johnson, UnitedHealth รายงานกำไรสูงกว่าคาดจากปัจจัยทั้งหมดดังกล่าวนี้ หนุนภาวะตลาดแบบ risk-on โดยเม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และพันธบัตร ซึ่งราคาปรับตัวลง และเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งเป็นตัวแทนของสินทรัพย์เสี่ยง เป็นปัจจัยหนุน SET ให้ฟื้นตัวได้ต่อ โดยผมมองแนวต้านเป้าหมายไว้ที่ 1,650 จุด ด้านปัจจัยในประเทศ นอกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ภาครัฐทยอยออกมาแล้ว

อีกประเด็นที่สำคัญ คือ การเข้าสู่ช่วงรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2562 ซึ่งผมจะกล่าวถึงในคอลัมน์ฉบับนี้ และแนะนำหุ้นที่น่าสนใจเพื่อจัดพอร์ตจำลองรับช่วงรายงานผลการดำเนินงาน โดยก่อนอื่นต้องบอกว่าในภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในบ้านเรายังไม่ได้ฟื้นตัว

โดยกลุ่มพลังงานภาพรวมยังโดนกดดันจากราคาน้ำมันที่เคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำ กลุ่มปิโตรเคมีผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากได้รับผลกระทบด้านอุปสงค์ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ กลุ่มธนาคารผลการดำเนินงานยังไม่ฟื้นตัวเช่นกัน หลังการเติบโตของสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำจากเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนี้ ภาวะอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ยังกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ให้ปรับตัวลงด้วย กลุ่มพาณิชย์ ยอดขายในไตรมาส 3 จะชะลอตัว หลังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคอีสาน และผลของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกระทบกำลังซื้อของผู้บริโภค เป็นปัจจัยกดดันผลการดำเนินงานเช่นเดียวกัน รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มท่องเที่ยว คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 จะชะลอตัวเช่นกัน

มาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมีผลการดำเนินงานชะลอตัว ขณะที่กลุ่มที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตมีเพียงไม่กี่กลุ่ม ซึ่งได้แก่ กลุ่มสื่อสาร ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับปัจจัยหนุนจากต้นทุนการดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายที่ลดลง กลุ่มการเงินผลการดำเนินงานจะเติบโตเช่นกัน หลังได้ประโยชน์จากภาวะอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ตามต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวขึ้น และกลุ่มธุรกิจการเกษตรและอาหาร (CPF GFPT และ TFG) ซึ่งผลการดำเนินงานจะได้รับปัจจัยหนุนจากราคาหมู และราคาไก่ ที่ยังมีแนวโน้มที่ดี

ทั้งนี้ จากที่ได้กล่าวไป แม้ภาพรวมผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเป็นจุดต่ำนะครับ นั่นหมายความว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 จะเริ่มฟื้นตัว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาในช่วงนี้ และด้วยผลของฤดูกาล ซึ่งไตรมาส 4 ส่วนใหญ่จะมีการจับจ่ายใช้สอยที่เร่งตัวขึ้น

ดังนั้น พอร์ตจำลองของผมเพื่อรับช่วงรายงานผลการดำเนินงาน จะอิงการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 เอาไว้ด้วยเลย นั่นหมายความว่า หุ้นที่ผมเลือก ไม่ได้เลือกหุ้นทั้งหมดที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ออกมาดี ซึ่งบางทีราคาหุ้นอาจจะสะท้อนไปในราคาที่ปรับตัวขึ้นมามากแล้วก็ได้ กลับกันหุ้นที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 แม้ไม่ดี แต่ในไตรมาส 4 จะฟื้นตัว กลับมีความน่าสนใจมากกว่าในแง่ส่วนต่างราคาที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต หรือเข้าทำนองที่ว่า ซื้อในช่วงไม่ดี เพื่อไปขายทำกำไรให้ได้ราคาในช่วงที่ดีนั่นเองครับ โดยพอร์ตจำลองของผม มีหุ้นต่าง ๆ ดังนี้

กลุ่มพาณิชย์ ซึ่งคาดผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวเด่นในไตรมาส 4 จากมาตรการชิม ช้อป ใช้ และค่าใช้จ่าย เพื่อฟื้นฟูหลังเหตุการณ์น้ำท่วม โดยผมแนะนำ CPALL และ GLOBAL

กลุ่มโรงพยาบาล มีเหตุผลเฉพาะ คือ CHG ที่คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3 จะโดดเด่นกว่าโรงพยาบาลอื่นในกลุ่ม หลังโรงพยาบาลที่เปิดใหม่เริ่มรับรู้รายได้ และ BCH ที่คาดผลการดำเนินงานจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4 โดยในช่วงที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานชะลอตัว เนื่องด้วยมีต้นทุน และค่าใช้จ่าย

ที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่และตัวสุดท้าย ผมเลือก CPF ซึ่งคาดว่าปัจจัยหลัก จากแนวโน้มที่ดีของราคาหมู และราคาไก่ ยังคงอยู่


นอกจากนี้ ผมเห็นความน่าสนใจของมูลค่าทางพื้นฐาน โดยหากคิดเฉพาะการถือหุ้น CPALL ตามสัดส่วน จะได้มูลค่าของ CPF ที่ 28 บาท เทียบกับราคาตลาดซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ 26-27 บาท และพบกันใหม่ในฉบับหน้าครับ…ด้วยรักและหวังดี