ชู”กองอสังหา-อินฟรา-รีท” ทางเลือกลงทุนยุคดบ.ต่ำ

โบรกฯชี้หุ้นกลุ่มกองทุน “อินฟราฟันด์-พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์-รีท” น่าสนใจลงทุนยุคดอกเบี้ยต่ำติดดิน-กังวลเทรดวอร์ “บล.เอเซีย พลัส” คาดตลาดหุ้นเสี่ยง “พักฐาน” นักลงทุนส่อโยกเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ระบุพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์เป็นตัวเลือกที่ดี เหตุอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนสูงฟาก “บล.กสิกรไทย” แนะเลี่ยง “TFFIF-BTSGIF” เจอผลกระทบล็อกดาวน์กำไรไตรมาส 2 ส่อต่ำสุด

นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ปัจจุบันหุ้นในกลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ถือว่าราคาวิ่งดีกว่าตลาด (outperform) ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันติดลบ 11.18% ดีกว่า SET index ที่ลบมากถึง 15%

“ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กองอสังหาฯและรีทได้รับความน่าสนใจเป็นพิเศษจากภาวะดอกเบี้ยต่ำ และความกังวลสงครามการค้าสหรัฐจีน โดยปี 2562 ที่ SET index ปรับขึ้น 1% แต่กองทุนเหล่านี้ปรับขึ้นกว่า 16.46% เป็นอันดับ 2 ของตลาด ขณะที่ในปี 2561 SET index ปรับลดลง 10.82% แต่พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์และรีทยังปรับตัวขึ้นได้ 7.08%”

แม้ช่วงต้นปีนี้ราคาหุ้นกลุ่มนี้จะย่อตัวลง แต่ขณะนี้ถือว่ามีความน่าสนใจที่จะกลับเข้าไปลงทุนได้อีกครั้ง เนื่องจาก 1.อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (dividend yield) ในพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ และรีทเริ่มกลับขึ้นมาอยู่ที่ 5.57% สูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปีก่อนที่อยู่ 4.6% ซึ่งน่าสนใจเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยนโยบายที่ลงมาเหลือ 0.5% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

2.ตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้จะมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากตั้งแต่ปรับฐานลงไปปัจจุบันดีดตัวขึ้นมากว่าครึ่งทางแล้ว จนทำให้ระดับอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ขึ้นไปสูงกว่า 19-20 เท่าดังนั้นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดจะเริ่มเปราะบางมากขึ้น ซึ่งมาจากสงครามการค้าที่เริ่มร้อนแรงอีกครั้ง รวมถึงความไม่แน่นอนจากเหตุการณ์ประท้วงที่ฮ่องกง และตัวเลขการติดเชื้อโควิด-19 ที่ขยายวงกว้างขึ้น

“ความเสี่ยงข้างหน้ายังมีอยู่ ขณะที่ตลาดหุ้นขึ้นมา แต่ยังไม่ได้พัก ต่อจากนี้น่าจะเริ่มกลับทางกัน หรือน่าจะเริ่มมีการพักเงิน แล้วหนีเข้ามาสู่สินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ที่มีเงินปันผลตอบแทนสูงกว่า 5.57%”

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยแนะนำกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมดิจิทัล (DIF) ที่มีสภาพคล่องสูง เป็นกองทุนรวมที่มีสิทธิความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ (freeholds) มีมาร์เก็ตแคปใหญ่ที่สุดกว่า 1.7 แสนล้านบาท ทำให้คาดหวังเงินปันผลตอบแทนได้กว่า 6% ต่อปี, กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไพรมออฟฟิศ (POPF) ที่ปรับฐานลงมาจากผลกระทบโควิดจนมีความน่าสนใจ คาดหวังเงินปันผลตอบแทนได้กว่า 9%, และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN คอมเมอร์เชียลโกรท (CPNCG) คาดหวังเงินปันผลตอบแทนได้ 9.8% อย่างไรก็ดี หากจะหวังปันผลช่วงไตรมาส 2-3 นี้ ต้องระวังกลุ่มออฟฟิศและห้างที่อาจจะได้ปันผลน้อยจากผลกระทบที่ถูกปิดล็อกดาวน์

นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้รวบรวมหุ้นกลุ่มอินฟราฟันด์และรีทจำนวน16 หลักทรัพย์ แบ่งเป็น 5 หมวดหลัก คือ 1.กลุ่มอินดัสเทรียลรีท เช่น FTREIT, HREIT, WHART 2.กลุ่มออฟฟิศรีท เช่น BOFFICE, B-WORK, GVREIT, SPRIME,TPRIME 3.กลุ่มเทลโก้รีท เช่น DIF, JASGIF 4.กลุ่มพาวเวอร์รีท เช่น SUPEREIF,EGATIF, BRRGIF, ABPIF 5.กลุ่มทรานสปอร์ตรีท เช่น TFFIF, BTSGIF

โดยกลุ่มที่กำไรไตรมาส 2 จะออกมาแย่สุด คือ TFFIF, BTSGIF จากจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าและผู้ใช้ทางด่วนที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ นโยบายทำงานที่บ้าน เรียนหนังสือที่บ้าน และการเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งจะทยอยฟื้นตัวหลังผ่านไตรมาส 2 ไปแล้ว

“คาดว่า TFFIF ภายใต้งบการเงินไตรมาส 3 (เม.ย.-มิ.ย.) จะมีกำไร 21 ล้านบาท ติดลบ 95% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากผลของผู้ใช้ทางด่วนที่จะหายไป 80% ส่วน BTSGIF งบฯไตรมาส 1 จะขาดทุน 20 ล้านบาท ติดลบ 95% ทั้งนี้ ประมาณการดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมุติฐานล็อกดาวน์ 3 เดือนถึง 30 มิ.ย.” นายพิสุทธิ์กล่าว

ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มพาวเวอร์รีท แนะนำ SUPEREIF ที่ทำโซลาร์ฟาร์ม ซึ่งได้รับสัญญาขายไฟตรงให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ยังขายไฟได้ตามราคาที่ตกลงตามสัญญา ทำให้รายได้และกำไรค่อนข้างคงที่ประเมินกำไรไตรมาส 2 จะอยู่ที่ 180 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาส 1

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อย คือ กลุ่มเทลโก้รีท แนะนำ DIF, JASGIF คาดไตรมาส 2 ของ DIF จะมีกำไร 2,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ค่อนข้างใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ปีนี้ที่มีกำไร 2,567 ล้านบาท ส่วน JASGIF คาดไตรมาส 2 จะมีกำไร 2,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

“หลังจากพ้นช่วงไตรมาส 2 หุ้นที่จะฟื้นกลับขึ้นมาเร็ว คือ TFFIF, BTSGIF จากการผ่อนคลายล็อกดาวน์ทำให้มีผู้ใช้งานกลับมาปกติ ยกเว้นจะมีการระบาดระลอก 2 เกิดขึ้น ส่วน SUPEREIF, DIF, JASGIF อาจจะคงที่เพราะไม่มีการซื้อสินทรัพย์ใหม่เข้ามา และรายได้จากลูกค้าก็น่าจะคงที่ด้วย”