5 เดือนต่างชาติขายหุ้นไทย 1.9 แสนล้าน ทิสโก้เปิด 9 หุ้นเด็ดรับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า

บล.ทิสโก้เผยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติเทขายหุ้นไทย 1.9 แสนล้านบาท เปิด 9 หุ้นเด่นคาดได้รับความสนใจในสายตาฝรั่ง หลังเริ่มเห็นสัญญาณเม็ดเงินไหลเข้า 3 วันทำการติดต่อกัน ชี้เป็นการเข้ามาเก็งเศรษฐกิจ-กำไร บจ.ที่อาจฟื้นตัวครึ่งปีหลัง รับอานิสงส์ปลดล็อกดาวน์-ดอกเบี้ยลดและสภาพคล่องสูง แต่โอกาสการปรับขึ้นของดัชนีเริ่มน้อยเพราะเข้าใกล้เป้าหมายปลายปีที่ 1,420 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนี้ (YTD) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.9 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้า โดยนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ 3 วันติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2563 รวมกว่า 8,900 ล้านบาท นับเป็นการซื้อสุทธิ 3 วันติดต่อกันครั้งแรกในรอบ 5 เดือน

จากการตรวจสอบเงินทุนต่างประเทศ (Foreign Funds Inflow) ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้มีทิศทางเป็นบวกเกือบทุกตลาดเหมือนประเทศไทย โดยในสัปดาห์นี้ (WTD) เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิแล้วกว่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นการไหลเข้าสูงสุดในรอบ 22 สัปดาห์ หรือประมาณ 6 เดือน โดยเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียมากที่สุด 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามด้วยตลาดหุ้นไต้หวัน และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 178 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียมีเม็ดเงินไหลเข้า 166 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลาดหุ้นไทยมีเม็ดเงินไหลเข้า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์มีเม็ดเงินไหลเข้า 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีเพียงตลาดหุ้นมาเลเซียเท่านั้นที่มีเม็ดเงินไหลออก 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับสาเหตุที่เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นในภูมิภาคนี้อีกครั้ง มองว่าเป็นผลจากนักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลัง จากการทยอยคลายล็อกดาวน์ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางหลักในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนกลับมาแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น (Search for Yield)

“สัญญาณบวกเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าหุ้นทั่วภูมิภาค เป็นความเสี่ยงด้านบวก (Upside Risk) ต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น โดยจากการประเมินของบล.ทิสโก้พบว่า เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้า หรือไหลออก ทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท จะมีผลให้ดัชนีหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลง ราว 29 จุด เพราะฉะนั้นหากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ารอบนี้มีความต่อเนื่อง คาดจะผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,390-1,400 จุดได้ไม่ยาก ซึ่งเป็นการปิดช่อง (GAP) ทางเทคนิคอีก 1 GAP อย่างไรก็ดี ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มขึ้นอีก เพราะ บล.ทิสโก้มองว่าโอกาสการปรับขึ้นหลังจากนี้น่าจะมีจำกัดแล้ว จากระดับการประเมินมูลค่าหุ้นที่ตึงตัวมาก โดยระดับดัชนีปัจจุบันเริ่มเข้าใกล้เป้าหมายหุ้นไทยสิ้นปีนี้ที่ บล.ทิสโก้ประเมินว่าจะดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,420 จุด และหากใช้วิธีคำนวณเป้าหมายโดย Bottom-up จะได้เป้าหมายดัชนีปลายปี 2563 ที่ 1,433 จุด” นายอภิชาติกล่าว

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ มองควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1. เป็นหุ้นขนาดใหญ่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ซึ่งเราจะให้ความสำคัญกับหุ้นที่อยู่ใน SET100 และ MSCI Global Standard Index 2. เป็นหุ้นที่ต่างชาติลดการถือครองลงในปีนี้ (Under-owed) เมื่อเทียบกับปลายปีที่แล้ว และที่สำคัญเพิ่งเริ่มมีสัญญาณบวกจากแรงซื้อต่างชาติเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญสัปดาห์นี้ และ 3. ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไม่แพง โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน


จากการพิจารณาหุ้นตามเกณฑ์คุณสมบัติทั้งหมดข้างต้น มองหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ คือ SET50 แนะนำ ADVANC (คำแนะนำ “ซื้อ”, เป้าพื้นฐาน 208 บาท), BDMS (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 25 บาท), CPALL (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 86 บาท), KBANK (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 118 บาท), PTTGC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 55 บาท), SCB (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 96 บาท) และ SCC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 372 บาท) และ SET100 แนะนำ CK (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 23.8 บาท), STEC (“ซื้อ”,เป้าพื้นฐาน 22 บาท)