4 กองทุนอสังหาฯ เตรียมจ่ายปันผล ‘กสิกรไทย’ เคาะมูลค่ากว่า 90 ล้านบาท

การลงทุน-กองทุน-เงิน

4 กองทุนอสังหาริมทรัพย์กำเงินรอจ่ายปันผลผู้ถือหน่วย ก.ย.-ต.ค.นี้ ‘บลจ.กสิกรไทย’ เคาะมูลค่าปันผลกว่า 96.74 ล้านบาท จ่าย 3 กองทุน ‘KPNPF-CTARAF-ABPIF’ ส่วน ‘บลจ.พรินซิเพิล’ จ่ายปันผลกองทุน ‘iPROP’ เคาะราคาหน่วยละ 0.10 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด ประกาศจ่ายปันผลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดย นายวิทวัส อัจฉริยวนิช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลและลดทุนจดทะเบียนสำหรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 3 กองทุน ได้แก่

  • การจ่ายปันผล กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPNPF) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ในอัตรา 0.0900 บาทต่อหน่วย
  • การจ่ายปันผลพร้อมลดทุนจดทะเบียน กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา (CTARAF) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ซึ่งจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.0805 บาทต่อหน่วย และลดทุนในอัตรา 0.0455 บาทต่อหน่วย
  • การจ่ายปันผลพร้อมลดทุนจดทะเบียน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ABPIF) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ซึ่งจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.0913 บาทต่อหน่วย และลดทุนในอัตรา 0.5400 บาทต่อหน่วย

ทั้งนี้ กองทุน KPNPF และ CTARAF มีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 18 กันยายน 2563 ส่วนกองทุน ABPIF มีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 28 กันยายน 2563 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 96.74 ล้านบาท

นายวิทวัส กล่าวอีกว่า กองทุน KPNPF มีนโยบายลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาคารสำนักงาน รวมถึงระบบสาธารณูปโภคในโครงการอาคารเคพีเอ็น ทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และมีการคมนาคมที่สะดวก อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 ประกอบกับอัตราค่าเช่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก ทำให้สามารถหาผู้เช่าเพิ่มและปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต ขณะที่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา กองทุน KPNPF ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากยังสามารถรักษาฐานผู้เช่าเดิมไว้ได้

ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2556 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 29 ครั้ง เป็นเงิน 3.5360 บาทต่อหน่วย หรือ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 4.92% ต่อปี

สำหรับ กองทุน CTARAF มีนโยบายลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินและอาคาร รวมถึงระบบสาธารณูปโภคของโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่บนหาดเฉวง เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยปัจจุบันโรงแรมอยู่ระหว่างปิดปรับปรุง จึงไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากยังคงมีรายได้ค่าเช่าจาก บริษัท เซ็นทรัลสมุยโฮเต็ลแมนเนจเม้นท์ จำกัด ตามสัญญาการเช่าช่วงครบถ้วน

ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2551 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 41 ครั้ง รวมเป็นเงินอัตรา 6.3532 บาทต่อหน่วย และลดทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 13 ครั้ง รวมเป็นเงินอัตรา 0.8276 บาทต่อหน่วย หรือ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและลดทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 5.83% ต่อปี

ในส่วนของ กองทุน ABPIF เป็นการลงทุนในสัญญาโอนผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ที่มีรายได้หลักมาจากการทำสัญญาระยะยาวในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งสัญญาโอนผลประโยชน์ของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 จะมีอายุคงเหลือจนถึงปี 2565

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการใช้ไฟฟ้าของบางโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร แต่โดยภาพรวมของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 ยังคงสามารถขายกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ตามปกติ

ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ABPIF เมื่อปี 2556 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 14 ครั้ง รวมเป็นเงินอัตรา 4.4403 บาทต่อหน่วย หรือ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 11.1% ต่อปี นอกจากนี้ กองทุนยังได้มีการลดทุนควบคู่กับการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยรวมเงินปันผลและลดทุนเท่ากับ 11.8163 บาทต่อหน่วย

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิด พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (PRINCIPAL iPROP) เป็นหนึ่งในกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่อง โดยนับจากเดือนพฤศจิกายนปี 2555 ได้จ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องรวมทั้งสิ้น 33 ครั้ง คิดเป็นอัตรารวม 6.295 บาทต่อหน่วย ล่าสุด กองทุน ได้ประกาศประมาณการจ่ายเงินปันผล ครั้งที่ 34 สำหรับงวดบัญชี 31 สิงหาคม 2563 แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Class R) และชนิดจ่ายเงินปันผล (Class D) ในอัตรา 0.10 บาทต่อหน่วย กำหนดปิดสมุดทะเบียน (XD Date) ในวันที่ 30 กันยายน 2563

ทั้งนี้ ผู้ซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่วันที่ปิดสมุดทะเบียนเป็นต้นไปจะไม่ได้รับเงินปันผลงวดดังกล่าว ส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Class R) สามารถขายคืนหน่วยลงทุนในกองทุน PRINCIPAL TREASURY ได้ตั้งแต่ 2 ตุลาคมนี้ ขณะที่ผู้ถือหน่วยลงทุนชนิดจ่ายเงินปันผล (Class D) จะได้รับเงินปันผลเข้าบัญชีเงินฝากในวันที่ 7 ตุลาคมนี้

นายจุมพล กล่าวอีกว่า กองทุน PRINCIPAL iPROP ได้รับการจัดอันดับ 4 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563) โดยมีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่จดทะเบียนในไทยและเอเชียแปซิฟิก เน้นทรัพย์สินที่มีคุณภาพดี มีรายได้จากค่าเช่าที่มั่นคง ภายใต้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Bottom up Stock Selection หรือ เลือกลงทุนในหลักทรัพย์คุณภาพที่ราคาเหมาะสมและมีโอกาสเติบโต โดยมีทีมจัดการลงทุนในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนใน REITs และ Infrastructure Fund รวมทั้งความร่วมมือกับทีมจัดการลงทุนระดับภูมิภาค ทำให้กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากภาพรวมอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกได้รับผลระทบจากโรคระบาดโควิด-19 จึงช่วยเพิ่มความน่าสนใจต่อการลงทุนใน REITs และ Infrastructure Fund ประกอบกับการขยายตัวของกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดดีมานด์ใน REITs โดยเฉพาะ REITs ที่เข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ประเภทอีคอมเมิรซ์ โลจิสติกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมากลุ่ม REITs และ Infrastructure Fund เป็นกลุ่มที่ยังคงปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด (Laggard) เนื่องจากราคาไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามหุ้นกลุ่มอื่นๆ หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ดังนั้น จึงมองว่าเป็นโอกาสลงทุนในกองทุน PRINCIPAL iPROP ในจังหวะที่ราคาของ REIT มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ถือเป็นโอกาสเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพดี ในราคาที่ถูก ซึ่งมองในระยะยาวมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในอนาคต