“เน็คซ์ แคปปิตอล” จ่อขายไอพีโอ 300 ล้านหุ้น คาดเข้าเทรดใน SET ปีนี้

หุ้น

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง “เน็คซ์ แคปปิตอล” เดินหน้าจดทะเบียนใน SET เสนอขาย IPO จำนวน 300 ล้านหุ้น ชี้ ระดมทุนขยายธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์-ลงทุนเทคโนโลยี-ชำระคืนเงินกู้คาดเทรดภายในปีนี้ เปิดพอร์ตสินเชื่อ 4 พันล้านบาท ลูกหนี้ 1 แสนบัญชี หนี้เสียต่ำ 2% เผย ผลประกอบการ 6 เดือน กำไรสุทธิเกือบ 71 ล้านบาท โต 30%

นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินเน็กซ์แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ของบริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCAP เปิดเผยว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ของ NCAP เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยวางแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 300 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปีนี้

วรชาติ ทวยเจริญ
วรชาติ ทวยเจริญ

โดยวัตถุประสงค์การระดมทุน เพื่อนำไปใช้ลงทุนในระบบสารสนเทศเพื่อพัฒนาระบบการให้บริการสินเชื่อ และระบบสนับสนุนการทำงาน สัดส่วน 5% ใช้คืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงินสัดส่วน 15% และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจสัดส่วน 80% และคาดจะใช้เงินภายในปี 2564

สำหรับผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ คือ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) มีสัดส่วนการถือหุ้นก่อนและหลัง IPO อยู่ที่ 40% และ 26.67% ตามลำดับ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการถือหุ้นก่อนและหลัง IPO 40% และ 26.67% ตามลำดับ อีกทั้ง วิสต้า อินเวสท์เม้นท์ ลิมิเต็ด สัดส่วนการถือหุ้นก่อนและหลัง IPO 7.50% และ 5% ตามลำดับ โดยจำนวนหุ้นที่ติด Silent Period ในครั้งนี้สัดส่วน 55% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO โดยหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ COM7 และ SYNEX ติด Silent ทั้งหมด สะท้อนความเชื่อมั่นในการลงทุนบริษัทฯ ในระยะยาว

นายสมชัย ลิมป์พัฒนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็คซ์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCAP ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งเน้นการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยที่ต้องการเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์เป็นหลัก ด้วยการซื้อรถจากตัวแทนจำหน่าย (Dealer) แล้วนำมาให้ลูกค้าเช่าซื้อ โดยมีธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ (Hire Purchase) เป็นธุรกิจหลัก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 99% ของมูลค่าลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรวม กำหนดระยะเวลาให้สินเชื่อเช่าซื้อสำหรับรถจักรยานยนต์ทุกรุ่นทุกยี่ห้ออยู่ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ 12 – 48 เดือน

ปัจจุบัน บริษัทมีจำนวนสาขาทั้งหมด 24 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะทางภาคใต้ที่บริษัทแข็งแกร่ง และมีดีลเลอร์ตัวแทนจำหน่ายรถเป็นพันธมิตรของบริษัทในพื้นที่ต่างๆ ประมาณ 600 ราย มีมูลค่าพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท มีจำนวนบัญชีประมาณ 100,000 ราย และแม้จำนวนบัญชีในปี 2563 ไม่ได้เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่กำไรบริษัทฯ ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากกระบวนการจัดการภายในที่ดีขึ้น ในการอนุมัติและติดตามสินเชื่อใหม่ที่คล่องตัว รวมถึงใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น

ทั้งนี้ NCAP มีโครงการในอนาคต ในการขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด และแผนการเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจกับร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายเพิ่มเติม ให้ครอบคลุมหัวเมืองจังหวัดต่างๆ ที่สำคัญ โดยมีแผนจะขยายในปี 2564 จำนวน 1 แห่ง และในปี 2565 จำนวน 2 แห่ง

รวมทั้งการลงทุนในระบบสารสนเทศเพื่อใช้ในการดำเนินงานทุกส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ได้แก่ ระบบ Mobile Application คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2563 ระบบ Credit Scoring คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2563 และระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร (ERP) คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2564

โดยมั่นใจว่า ภายหลังระบบดังกล่าวแล้วเสร็จ จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ขยายสินเชื่อใหม่ได้อย่างก้าวกระโดดในปี 2564 และคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนในระบบสารสนเทศรวมประมาณ 30-40 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการประกอบธุรกิจในการลงทุนดังกล่าว ประกอบกับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้

ด้านผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 561.89 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18.7% จากงวดครึ่งปีแรกของปีก่อนอยู่ที่ 473.49 ล้านบาท แม้ว่าจะมีจำนวนสัญญาใหม่ที่ลดลงก็ตาม โดยเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้ต่อเนื่องของสัญญาใหม่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 ที่รับรู้ต่อเนื่องมายังช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้

และการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น ได้แก่ หนี้สูญรับคืนที่บริษัทสามารถติดตามทวงถามได้เพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการปรับปรุงกระบวนการติดตามและทวงถามหนี้ที่ดีตั้งแต่ช่วงกลางปี 2562 เป็นต้นมา และสนับสนุนให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 70.65 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 54.21 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิในงวด 6 เดือนปี 2563 และงวด 6 เดือนปี 2562 เท่ากับ 12.57% และ 11.45%  ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นๆ และการลดลงของอัตราดอกเบี้ยจ่ายของบริษัท

“ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมรายได้ของบริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้น แม้ปีนี้ต้องเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้วอลุ่มการปล่อยสินเชื่อใหม่ลดลงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ดี ด้วยความพร้อมในการบริหารจัดการที่ดี ทำให้บริษัทยังคงความสามารถในการทำกำไรในช่วงครึ่งปีแรก เรามีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 30% และแนวโน้ม NPL ที่สามารถคุมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ NPL ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม”

ขณะที่ จุดแข็งในด้านความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย ซึ่งยังคงมีความต้องการซื้อรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีราคาต่ำกว่ารถประเภทอื่น รวมถึง ความจำเป็นที่ต้องใช้ในการประกอบอาชีพทั้งธุรกิจขนส่งและอาหาร เป็นโอกาสให้บริษัทฯ ขยายสินเชื่อใหม่ได้เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะสัดส่วนพอร์ต Honda ที่คาดจะเพิ่มขึ้นตามความนิยมของตลาด


อย่างไรก็ดี บริษัทได้พัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทำงาน เพื่อให้บริการได้อย่างรวดเร็ว รวมถึง อบรมบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ เพื่อสนับสนุนการเติบโตให้ก้าวกระโดดในปี 2564 และมั่นคงในระยะยาว