สถาบันช้อนซื้อหุ้นกว่า 3.3 พันล้าน หนุน SET กลับมาปิดบวก 19.17 จุด

ภาพประกอบข่าวนักลงทุนสถาบัน-นักธุรกิจ
Photo by Hunters Race on Unsplash

โบรกฯ ชี้เทรนด์สถาบันกลับมาช้อปหุ้นเข้าพอร์ต หนุน SET Index ปิดบวก 19.17 จุด แนะนักลงทุนเกาะแรงซื้อกองทุนในหุ้นบิ๊กแคป ‘พลังงาน-ปิโตรฯ-ค้าปลีก’ เก็งปัจจัยผลเลือกตั้งสหรัฐหนุนตลาดหุ้นทั่วโลกบวกต่อ

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยภาพรวมตลาดหุ้นไทยประจำวันที่ 3 พ.ย.63 ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET (SET Index) ปิดบวกที่ 1,221.33 จุด ปรับขึ้น 19.17 จุด หรือปรับขึ้น 1.59% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 50,169.98 ล้านบาท สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ ตลาดหุ้นเอเชียปรับขึ้นราว 1.5% ยุโรปปรับขึ้นราว 2% และดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับขึ้น 440 จุด

ทั้งนี้ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิมากที่สุดที่ 3,382.44 ล้านบาท และนักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 14.97 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนในประเทศขายสุทธิมากที่สุด 2,248.87 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,148.54 ล้านบาท

โดยปัจจัยบวกที่เข้ามาหนุน SET Index คาดว่ามาจากตัวเลขเศรษฐกิจของหลายประเทศออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน ยุโรป และสหรัฐ รวมถึงดัชนี ISM ของสหรัฐ เป็นต้น นอกจากนี้ พบว่าราคาน้ำมันดิบที่ปรับฐานต่อเนื่อง 5-6 วันที่ผ่านมา เริิ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญในต่างประเทศที่ต้องติดตามคือผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรู้ผลช่วงบ่ายวันที่ 4 พ.ย.ตามเวลาประเทศไทยเป็นต้นไป อย่างไรก็ดี แม้คาดว่านายโจ ไบเด็น ผู้ท้าชิงจะได้รับชัยชนะตามที่สะท้อนออกมาตามโพลต่างๆ แต่ตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบช่วงสั้นจากการประท้วงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าทรัมป์จะขอตรวจสอบการเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% ในปีนี้ ท่ามกลางการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวเชื่อว่าผู้ที่ได้รับเลือกจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และจะส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสที่จะปรับขึ้นหลังการเลือกตั้ง (Election Rally)

ขณะที่ปัจจัยในประเทศประเมินว่าการที่ภาครัฐพยายามเดินหน้าเรื่อง พ.ร.ก.ประชามติ เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นบรรยากาศเชิงบวกต่อการเมืองในประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นต่างๆ ได้แก่ มาตรการ “คนละครึ่ง” และมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ที่เจาะกลุ่มทั้งคนชั้นล่างและกลาง เหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า

“โดยภาพรวมทุกอย่างดีขึ้น ส่วนดัชนีได้กระแทกลงไปอยู่โซนด้านล่างจากข่าวลบที่ผ่านมา เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐดีเลย์ และการติดเชือโควิด-19 ระลอกสอง โดยวันนีเจะเห็นว่าหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) เริ่มมีแรงดึงกับขึ้นมา เช่น กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคาร โดยเป็นภาพที่นักลงทุนสถาบันเริ่มกลับมาเลือกซื้อหุ้นที่อยู่ในโซนล่าง” นายวิจิตร กล่าว

เมื่อสอบถามถึงกลยุทธ์การลงทุน นายวิจิตร กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อ Big Cap เกาะไปกับแรงซื้อของนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่ยังมีสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนสถาบันไม่สูงมากนัก โดยประเมินกรอบแนวรับวันพรุ่งนี้ที่ 1,210 จุด และแนวต้านที่ 1,230 จุด