ทายาทรุ่น 3 “แม่ทองสุก” ชี้เทรนด์ราคาทองคำ “ขาขึ้น” อีก 3 ปี

ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ
ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ
สัมภาษณ์พิเศษ

“ทองคำ” เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจเสมอ ยิ่งช่วงเวลานี้ที่โลกกำลังเผชิญสารพัดปัญหา โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้ราคาทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเป็นขาขึ้น

นักลงทุนจึงหันมาเพิ่มน้ำหนักการถือครองทองคำกันมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยการเลือกตั้งสหรัฐที่ยังรอความชัดเจนว่า ผู้ชนะจะเป็นใคร ระหว่าง นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน กับนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต จะส่งผลต่อแนวโน้มราคาทองคำในระยะข้างหน้า

ซึ่งจากการที่ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ” ประธานบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ของห้างทอง “แม่ทองสุก” ที่เป็น 1 ใน 3 ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ของเมืองไทย

ณัฐพงศ์ GEN3 แม่ทองสุก

จบเลือกตั้งทองคำยังขาขึ้น

“ถ้าใครชอบทอง ต้องชอบทรัมป์” นายณัฐพงศ์นิยามสั้น ๆ และอธิบายต่อว่า เนื่องจากทรัมป์จะสร้างความปั่นป่วน ทำให้ภาวะเศรษฐกิจผันผวนมากกว่าไบเดน ซึ่งนักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจได้แบ่งมุมมองออกเป็น 3 กรณี ได้แก่ 1.ไบเดนชนะการเลือกตั้ง 2.ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง และ 3.คนใดคนหนึ่งชนะ แต่อีกคนไม่ยอมรับ ซึ่งมีโอกาสสูงว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาในรูปแบบสุดท้าย

“พอเป็นปีที่เกิดโควิด-19 ก็เลยมีการหย่อนบัตรเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์ (mail-in ballot) จำนวนมาก ราวร้อยกว่าล้านคน ซึ่งทรัมป์ประท้วงว่า มีโอกาสที่จะเกิดการโกงสูง ถ้ารู้ผลเลือกตั้งข้ามวัน พูดง่าย ๆ คือถ้าทรัมป์แพ้ เพราะ mail-in vote เขาจะไม่ยอมรับ และจะเกิดการฟ้องกันไป ฟ้องกันมา” นายณัฐพงศ์กล่าว

อย่างไรก็ดี ในเรื่องผลกระทบต่อราคาทองคำนั้นเชื่อว่า “ไม่ว่าใครชนะก็จะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำ” เนื่องจากทั้งคู่ต้องอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแน่นอน และหากผลออกมาเป็นกรณีที่ 3 ที่มีการฟ้องร้องกันไปมา ก็จะยิ่งเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว

“แต่จะขึ้นมาก ขึ้นน้อย หรือผันผวน ขึ้นอยู่กับผลที่จะออกมา โดยคาดว่าอีก 2 เดือนต่อจากนี้ ราคาทองคำจะผันผวนมาก แต่ช่วง 2-3 ปีจากนี้ เรามองว่าราคาทองคำจะยังเป็นขาขึ้น”

โดยเขาคาดว่า ภายในสิ้นปีนี้มีโอกาสที่ราคาทองคำต่างประเทศ (gold spot) จะปรับขึ้นถึง 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ และในปีหน้า (2564) คาดว่ามีโอกาสเห็น 2,100-2,200 ดอลลาร์/ออนซ์ และราคาทองคำในประเทศน่าจะขึ้นไปถึง 30,000 บาท

หลายปัจจัยดันราคา

“ณัฐพงศ์” บอกว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือน ต.ค. 2563 ราคาทองคำ gold spot ปรับขึ้นไปแล้วประมาณ 700 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือปรับขึ้นราว 50% ใกล้เคียงกับปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส (SARS) ซึ่ง MTS คาดว่าภาพใหญ่ของราคาทองคำยังคงเป็น “ขาขึ้น”

โดยนอกจากการเลือกตั้งสหรัฐที่เป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การล็อกดาวน์รอบสองของหลายประเทศในภูมิภาคยุโรป รวมถึงการอัดฉีดเงินในภูมิภาค และการออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) ฯลฯ เหล่านี้คาดการณ์กันว่า จะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมา โดยสังเกตได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทยอยปรับตัวขึ้น เช่น ราคายาง ราคาน้ำตาล และราคาถั่วเหลือง

“ต้องเข้าใจว่า ตอนนี้ที่ตลาดหุ้นไม่ร่วง ตอนนี้ที่เศรษฐกิจอยู่ได้ เพราะธนาคารกลางหลายประเทศต่างพิมพ์เงินเข้ามาในระบบมหาศาล พอพิมพ์เงินมาขนาดนี้ เงินก็ต้องเข้าไปในตลาดหุ้น หุ้นมันถึงได้ขึ้น ซึ่งปัจจุบันราคาทองไม่ได้สวนทางกับตลาดหุ้นแล้ว เพราะปริมาณเงินที่พิมพ์ออกมามันมาก แล้วคนที่บอกว่า ถือเงินสดไว้แล้วจะปลอดภัย ถ้าเกิดเงินเฟ้อ เงินก็จะด้อยค่าลง ดังนั้นถือเงินสดก็ไม่ปลอดภัย ถ้าไม่ลงทุน ขณะที่ทองคำมีลักษณะพิเศษที่สามารถสู้เงินเฟ้อได้” นายณัฐพงศ์กล่าว

2 ปัจจัยเสี่ยงทุบราคาทอง

อย่างไรก็ตาม “ณัฐพงศ์” เตือนปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ ได้แก่ การพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงการปรับฐานของตลาดหุ้น เนื่องจากปัจจุบันตลาดหุ้นและตลาดทองคำเริ่มมีความสัมพันธ์กัน (correlation) กล่าวคือ เมื่อตลาดหุ้นปรับขึ้น ตลาดทองคำก็ปรับขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ตลาดหุ้นและตลาดทองคำจะเคลื่อนไหวสวนทางกัน

New Normal ธุรกิจทองคำ

โดยจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปีนี้ “ณัฐพงศ์” ยอมรับว่า การทำธุรกิจค้าทองคำปีนี้เหนื่อย และวุ่นวายที่สุดเท่าที่เคยทำมา เพราะทำ 1 ปี เหมือนทำเผื่อไปแล้ว 5 ปี เนื่องจากมีเรื่องโควิด-19 เข้ามากระทบ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก

ต่างจากเหตุการณ์ในอดีต เช่น เหตุน้ำท่วม การปิดสนามบิน หรือปิดเมืองจากการชุมนุมทางการเมือง ฯลฯ ที่เคยเกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย

โดยตัวแปรสำคัญที่ทำให้การทำธุรกิจทองคำ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอย่างหนักในช่วงโควิด-19 ได้แก่ การที่ทุกประเทศปิดสนามบิน รวมถึงการขาดทุนของสายการบินแห่งชาติอย่าง บมจ.การบินไทย ซึ่งนำไปสู่ความอลหม่านในการจัดเส้นทางส่งออกทองคำแท่ง เพื่อให้ร้านค้าทองคำมีเงินสดพอที่จะจ่ายให้แก่ลูกค้า เนื่องจากการบินไทยเป็นเพียงสายการบินเดียวที่มีเที่ยวบินตรงไปถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการส่งออกทองคำ

“เราไม่เคยเจอสภาพที่การบินไทยไม่บินเราไม่เคยเจอสภาพที่สนามบินปิดทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อการบริหารจัดการไฟลต์ การบริหารจัดการเงิน ทั้งหมดนี้ต้องใช้ความสามารถสูงมากในการจัดการ โดยภายหลังการบินไทยไม่บิน ผู้ค้าทองต้องวางแผนเส้นทางการส่งออกทองคำแต่ละรอบใหม่ทั้งหมด ทำให้ทองคำต้องผ่านเข้าออกหลายประเทศ กว่าที่จะไปถึงจุดหมายปลายทาง นอกจากนี้ การล็อกดาวน์ยังส่งผลให้รอบการส่งออกทองคำปรับลงเหลือ 1-2 วันต่อสัปดาห์ จากเดิมที่ส่งออกได้ทุกวัน”

เดินหน้าธุรกิจใหม่เต็มสูบ

นอกจากนี้ “ณัฐพงศ์” ได้เล่าถึงธุรกิจใหม่ ๆ ของบริษัท ได้แก่ การเป็นนายหน้า (โบรกเกอร์) ของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมานักลงทุนให้การตอบรับค่อนข้างดีสะท้อนจากปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) ของ gold online futures ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายที่อ้างอิงทองคำแท่ง

ปัจจุบันมีการซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 2-2.5 หมื่นสัญญา/วัน นอกจากนี้ ยังมีสัญญาที่อิงสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ที่จะดำเนินการในปีนี้ ได้แก่ โลหะเงิน และยางพารา เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ตามนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายทองคำสกุลเงินต่างประเทศผ่านบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) ได้ ไม่เฉพาะสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะเป็นการปฏิรูปการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ในอนาคต ไม่เฉพาะทองคำเท่านั้น โดยน่าจะออกมาในเร็ว ๆ นี้

ส่วนแผนขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2564 “แม่ทองสุก” จะโฟกัสกับการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น หลังจากเปิดตัว “MTS Gold Blockchain” บริการออมทองด้วยบล็อกเชนไปเมื่อต้นปี 2563 รวมถึงจะเน้นการขยายตลาดซื้อขายทองคำไปยังต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ขยายตลาดไปยังประเทศจีน สิงคโปร์ และฮ่องกงแล้ว

“โดยภาพรวมแล้ว ธุรกิจทองคำก็ยังถือว่าโชคดีกว่าธุรกิจอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งแม้ว่ารายได้จะหดตัวลง แต่ก็ยังพอทำกำไรได้ โดยขณะนี้เริ่มกลับมาปกติแล้วแต่เป็นภาวะปกติภายใต้ new normal ไปจนกว่าโควิด-19 จะหายไปหรือจนกว่าการบินไทยจะกลับมาบิน”ทายาทรุ่นที่ 3 ห้างทองแม่ทองสุกกล่าว