กูรูเชื่อ “ทองคำ” เป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่า “ทรัมป์-ไบเดน” เป็น ปธน.

ทองคำ
Photo by SEBASTIAN DERUNGS / AFP
ชีพจรเศรษฐกิจโลก
นงนุช สิงหเดชะ

ณ เวลาที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ แม้ โดนัลด์ ทรัมป์ จะชิงประกาศว่าตนเองเป็นฝ่ายชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี อันหมายความว่าเขาจะได้ครองตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 แต่ยังไม่มีอะไรแน่นอน เพราะการนับคะแนนยังไม่เสร็จสิ้น บางพื้นที่กว่าจะนับเสร็จอาจใช้เวลาหลายวัน

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า “ทองคำ” และธุรกิจเหมืองทอง จะเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จากรีพับลิกัน หรือ “โจ ไบเดน” จากเดโมแครต จะชนะเลือกตั้งก็ตาม นี่คือการวิเคราะห์ของ “เจมส์ ราสเทห์” ประธานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของโคสต์ แคปิตอล ซึ่งระบุว่า เหตุที่เชื่อว่า “ทองคำ” จะเป็นฝ่ายชนะไม่ว่าใครจะได้เป็นผู้นำสหรัฐอเมริกา ก็เพราะมีแนวโน้มว่าหลังเลือกตั้งสหรัฐจะมีการใช้มาตรการการคลังวงเงินมหึมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สหรัฐจะพิมพ์เงินออกมาเพิ่มอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ อันจะส่งผลบวกเป็นพิเศษที่จะทำให้เกิดการสะท้อนกลับมาซื้อทองคำ

ราสเทห์ชี้ว่า การกระตุ้นด้วยมาตรการการคลัง เช่น การใช้จ่ายของภาครัฐ การลดภาษีเพื่อให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจ โดยปกติแล้วจะนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำลายความมั่นใจของนักลงทุนและกระตุ้นให้พวกเขานำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ มีผลให้ราคาสูงขึ้น

ราสเทห์ระบุด้วยว่า ปัจจุบันผู้ทำเหมืองทองได้ทุ่มเงินลงทุนเพื่อค้นหาแร่ทองใหม่ ๆ แต่ถึงแม้จะค้นพบแต่คุณภาพต่ำกว่าเดิมมาก จึงไม่มีการค้นพบแหล่งแร่ทองเพียงพอที่จะนำมาผลิตทองคำ คาดว่าภายใน 10 ปี การผลิตทองคำจะลดลงจากปัจจุบันประมาณ 50% ขณะนี้เงินลงทุนในตลาดทองคำไหลไปสู่กองทุนรวมอีทีเอฟ ซึ่งมีบริษัทเหมืองทองรายใหญ่ครอบงำอยู่ และขณะนี้ถือว่าหุ้นเหมืองทองยังมีนักลงทุนซื้อเข้าพอร์ตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (underowned)

แต่ในเมื่อบริษัทเหมืองรายใหญ่ไม่สามารถค้นพบแหล่งแร่ทองใหม่ ๆ และแหล่งแร่สำรองกำลังจะหมด ก็อาจบังคับให้บริษัทเหมืองขนาดใหญ่เหล่านี้ต้องซื้อเหมืองขนาดเล็กในตลาดเพื่อแก้ปัญหาเรื่องแหล่งแร่ ดังนั้น ขณะนี้โคสต์ แคปิตอล จึงกำลังดำเนินการซื้อบริษัทเหมืองทองขนาดเล็ก เพราะเห็นว่ามีความน่าสนใจในแง่ที่ว่ามีแหล่งสำรองแร่ระยะยาว ซึ่งสามารถนำมาขายต่อได้ ขณะเดียวกันยังเข้าซื้อหุ้นบริษัทเหมืองขนาดกลางและเล็กที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วย

ราคาหุ้นบริษัทเหมืองทองขนาดใหญ่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้ เช่น บาร์ริกโกลด์ ของแคนาดา ปรับขึ้นกว่า 46% นิวมอนต์ บริษัทเหมืองทองอเมริกันรายใหญ่สุดของโลก ปรับขึ้นกว่า 48%

วิกฤตร้ายแรงจากการแพร่ระบาดของโวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงและยืดเยื้อต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าวิกฤตครั้งก่อนหน้า ทำให้สหรัฐอเมริกาและทุกประเทศทั่วโลกต้องออกมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงินมหาศาล ซึ่งแม้จะมีผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่ก็สร้างความกังวลเรื่องเงินเฟ้อให้กับนักลงทุน กระทั่งนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าจะเป็นสาเหตุให้ราคาทองคำอาจขยับขึ้นไปแตะ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐภายใน 2 ปีข้างหน้า เพราะต้องการลงทุนในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาเงินเฟ้อ

การใช้จ่ายเงินมหาศาลเพื่อสู้วิกฤตโควิด ยังทำให้สหรัฐอเมริกาขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า ปีนี้รัฐบาลใช้จ่ายไปทั้งสิ้น 6.55 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อนหน้าทำให้งบประมาณขาดดุล 3.13 ล้านล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์และนับเป็นการขาดดุลติดต่อกันเป็นปีที่ 5

การขาดดุลงบประมาณสูง หมายถึงว่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางอ่อนค่า ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของนักลงทุนเช่นกัน ดังนั้นก็จะมีการโยกเงินลงทุนจากดอลลาร์สหรัฐไปสู่การลงทุนในทองคำ