กลุ่มบริษัทเอไอเอเผย 9 เดือนแรกเบี้ยประกันรับปีแรกหดตัว 19% เซ่นพิษโควิด

“กลุ่มบริษัทเอไอเอ” เผยผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ เบี้ยประกันภัยรับรวมฟื้นตัวอยู่ที่ 25,723 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เบี้ยประกันรับปีแรกหดตัว 19% เหลือ 3,938 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะไตรมาส 3/63 มีเบี้ยรับรวม 8,797 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% เบี้ยประกันรับปีแรก 1,359 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 6%

นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ เปิดเผยว่า ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.63) บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) อยู่ที่ 25,723 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันรับปีแรก(ANP) หดตัว 19% เหลือ 3,938 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะไตรมาส 3/63 มีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 8,797 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% และเบี้ยประกันรับปีแรก 1,359 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 6

โดย 9 เดือนแรกมีมูลค่าธุรกิจใหม่(VONB) อยู่ที่ 2,116 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 35% เมื่อเทียบช่วงเดียวันปีก่อน เฉพาะไตรมาส 3 มีมูลค่าธุรกิจใหม่อยู่ที่ 706 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 28% ทั้งนี้มีอัตรากำไรของมีมูลค่าธุรกิจใหม่(VONB margin) อยู่ที่ 51.6% ลดลง 15.6 จุด หรือใกล้เคียงไตรมาส 2 ที่อยู่ 51.4% โดยอัตราความยั่งยืนของกรมธรรม์ยังแข็งแกร่ง แต่อัตราการเวนคืนกรมธรรม์ในไตรมาส 3 ยังลดลงในประเทศไทยและมาเลเซีย

ทั้งนี้การดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงฟื้นตัวอย่างมั่นคงต่อเนื่อง โดยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้รับการควบคุมเป็นอย่างดีในหลายประเทศที่เอไอเอดำเนินธุรกิจอยู่ ทำให้มีการผ่อนคลายของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ในขณะที่การขายผ่านออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางสำคัญที่สร้างยอดขายในบางประเทศ แต่ก็เห็นถึงสัดส่วนของยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการขายแบบพบเจอลูกค้า(face-to-face) เช่นกัน

อย่างไรก็ดีผลจากการระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของกลุ่มบริษัทลดลง 75% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ในขณะเดียวกันการร่วมมือและการติดต่อสื่อสารภายในกลุ่มบริษัทได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 30 วันที่ผ่านมา โดยพนักงานของบริษัทได้ประชุมผ่านวิดีโอออนไลน์เกือบ 280,000 ครั้ง ผ่านระบบเสียงออนไลน์กว่า 1 ล้านครั้ง ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบการทำงานที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นายหลี่ หยวน ชยอง กล่าวต่อว่าไตรมาส 3 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์สำหรับเอไอเอ ประเทศจีน โดยเป็นการเริ่มต้นของการเปลี่ยนธุรกิจของเอไอเอในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่จาก “สาขา” เป็น “บริษัทในเครือ” ที่เอไอเอลงทุนเองทั้งหมดเมื่อวันที่ 9 ก.ค.63 ซึ่งพนักงานต้องทำงานกันอย่างหนักกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ โดยต้องประสานงานกับคู่สัญญามากกว่า 2,000 ราย และหน่วยงานภาครัฐกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา 3 เดือนของการดำเนินการ

บริษัทประกันชีวิตเอไอเอ จำกัด สามารถเริ่มดำเนินธุรกิจในจีนแผนดินใหญ่ได้ในวันที่ 1 ต.ค.63 สำหรับโครงสร้างธุรกิจใหม่นี้ และจากการได้รับการอนุมัติจากประเทศจีนในครั้งนี้ บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการเพื่อเปิดสาขาใหม่ในมณฑลเสฉวน

อย่างไรก็ดี มูลค่าธุรกิจใหม่ของเอไอเอ ประเทศจีนในไตรมาส 3 มีการเติบโตใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ก่อนที่จะมีการปรับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็น 5% ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเอไอเอ ประเทศจีน ยังคงสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กับกลุ่มบริษัทมากที่สุด และใน 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทได้พัฒนาคุณภาพของ “พรีเมียเอเจอซี่” อย่างต่อเนื่อง และด้วยการทำงานอย่างมีระบบทำให้สามารถสร้างตัวแทนใหม่ได้เพิ่มขึ้นสูงเป็นตัวเลขสองหลัก ทั้งจำนวนตัวแทนทั้งหมดและระดับหัวหน้าตัวแทน

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเอไอเอยังได้ประกาศร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาวกับบริษัท Practo Pte จำกัด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลชั้นนำในประเทศอินเดีย ที่มีเครือข่ายกับโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำกว่า 70,000 แห่ง นอกจากนี้ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต ยังได้ขยายระยะเวลาการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคาร IndusInd จำกัด ไปอีก 10 ปี

ขณะที่ธุรกิจในฮ่องกง มีมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นพอประมาณเมื่อเทียบไตรมาสที่แล้ว โดยส่งผลมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในประเทศ สำหรับยอดขายจากนักท่องเที่ยวในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงแทบจะเป็น 0 ในไตรมาส 3 นี้ เนื่องมาจากมาตรการกักกันตัวก่อนเข้าประเทศ

ด้าน “เอไอเอ ประเทศไทย” มีการเติบโตที่แข็งแกร่งในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากช่องทางตัวแทนและช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ ในขณะที่ธุรกิจในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย สามารถเติบโตได้อย่างดีเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วเช่นกัน ด้วยมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เติบโตขึ้นมากกว่าสองหลักจากในไตรมาส 2 และเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันปีก่อน

ด้านมุมมองด้านเศรษฐกิจ นายหลี่ หยวน ชยอง ชี้ว่า หลังจากการหดตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 63 บางประเทศได้ฟื้นตัวกลับมาเติบโตในไตรมาส 3 ซึ่งรวมถึงประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้นแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ตามประสิทธิภาพของมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และนโยบายของรัฐบาล

รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการผลิต สำหรับมุมมองในระยะกลางยังคงไม่เป็นที่แน่นอน จากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ และความตึงเครียดทางการเมืองและทางการค้ายังคงอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม ความต้องการประกันชีวิตและการบริการของเอไอเอยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น อัตราการทำประกันชีวิตที่ต่ำ และความคุ้มครองจากสวัสดิการสังคมที่ยังคงอยู่ในอัตราที่ต่ำ ซึ่งเอไอเอมีทั้งช่องทางการขายที่แข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม การเป็นผู้นำตลาดและความเข้มแข็งทางการเงิน ทำให้มีโอกาสที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชียในระยะยาว