โบรกฯเผยปัจจัยส่งผลตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้-จับตา2ธ.ค.ศาล รธน.วินิจฉัยคุณสมบัตินายก

หุ้นร่วง

“เอเซียพลัส” เผยปัจจัยสำคัญต่อตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ให้น้ำหนักการประชุม OPEC+ 30 พ.ย.- 1 ธ.ค.63 และการรายงานดัชนี PMI ทั่วโลก สั่งจับตา 2 ธ.ค.ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัตินายก กรณีพักบ้านหลวง พร้อมกับ ศบศ.จะพิจารณามาตรการเศรษฐกิจชุดใหม่ “รถเก่าและรถใหม่-คนละครึ่งเฟส 2-เราเที่ยวด้วยกัน”

ผู้สื่อข่าวรายงานข้อมูลบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด ซึ่งได้เปิดเผยข้อมูลว่า โควิด-19 ยังเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศยังเป็นประเด็นที่ตลาดให้น้ำหนัก ล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลก (New Case) เพิ่มขึ้น 6.12 แสนราย (ระดับสูงสุดของปี) หนุนให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก (Total Case) เพิ่มขึ้นไปเป็น 62.2 ล้านราย โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ยังกระจุกอยู่ในฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เช่น สหรัฐ, อิตาลี, เยอรมนี, ฝรั่งเศส แต่ล่าสุดฝั่งเอเชียยังเห็นการเพิ่มขึ้น เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ฮ่องกง

ในส่วนประเทศไทย (วันหยุดที่ผ่านมา) พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 2 ราย ที่จังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย โดยทั้ง 2 รายเดินทางมาจากประเทศเมียนมา อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยประเมินว่ารัฐบาลไทยจะไม่กลับมา Lockdown เศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามประเด็นโควิดอาจสร้างความกังวล กระทบความเชื่อมั่นต่อประชาชน และส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว อ่อนตัวลงมาชั่วคราวได้

ทั้งนี่้ปัจจัยอื่นๆ ที่ให้น้ำหนักในสัปดาห์นี้ ได้แก่

• การประชุม OPEC+ ในวันที่ 30 พ.ย.- 1 ธ.ค.2563 ตลาดคาดว่า OPEC+ จะเลื่อนแผนการเพิ่มกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วัน ออกไปอีก 3-6 เดือน ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อราคาน้ำมันดิบ รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงาน (PTT, PTTEP) และกลุ่มโรงกลั่น-ปิโตรเคมี (PTTGC) ต่อไป

• การรายงานดัชนี PMI ทั่วโลก ได้แก่ PMI ของจีน, ญี่ปุ่น และยุโรป ตลาดคาด PMI ของประเทศส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อ สะท้อนถึงสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีอยู่ในช่วงไตรมาส 4/63 บวกต่อหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB, BBL, TISCO), กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี (PTT, PTTEP, PTTGC, IVL, SCC),

@@ 2 ธ.ค.63 จับตาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัตินายก

ส่วนปัจจัยในประเทศให้น้ำหนักในวันที่ 2 ธ.ค. 2563 ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ดังนี้

ศบศ.จะพิจารณามาตรการเศรษฐกิจชุดใหม่ ได้แก่ 1.มาตรการนำรถเก่าและรถใหม่จำนวน 1 แสนคัน คาดว่าเป็นการลดหย่อนทางภาษี ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล แต่ประเมินว่ามาตรการอาจสร้างประโยชน์ได้จำกัด เพราะอิงจากเงื่อนไขในกระแสข่าว พบว่ารถเก่าที่เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งผู้ที่ยังใช้รถเก่าถึง 15 ปี อาจเป็นผู้มีรายได้น้อย

2.มาตรการคนละครึ่งเฟส 2 คาดเริ่มลงทะเบียน 1 ม.ค.2564 และขยายระยะเวลามาตรการไปจนถึงตรุษจีนในเดือน ก.พ. 2564 (โครงการเฟส 1 สิ้นสุด 31 ธ.ค. 2563)

3.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะพิจารณาขยายเวลาโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ไปจนถึง ช่วงตรุษจีน หรือสงกรานต์ ปี 2564 (เดิมโครงการสิ้นสุด ม.ค. 2564)

4.ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผู้ร้องว่าขาดคุณสมบัติ เพราะยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักของข้าราชการทหารหลังจากเกษียณอายุ หากผลออกมาพบว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล คาดอาจส่งผลให้เกิดภาวะสุญญากาศต่อการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนต่างๆของรัฐ เนื่องจากรัฐบาลจะพ้นจากตำแหน่ง และเปลี่ยนสภาพเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ ถือเป็นประเด็นต้องติดตาม