TSI โชว์เงินกองทุนแกร่ง เดินเครื่องธุรกิจเต็มตัว ตั้งเป้าเบี้ยประกันพันล้าน

“ไทยเศรษฐกิจประกันภัย” โชว์ฐานะการเงินแกร่ง สิ้นปี’63 ระดับเงินกองทุนขึ้นมาอยู่ที่ 500% สูงลิ่ว เดินเครื่องบุกตลาด Non-Motor จับมือโบรกเกอร์-ตัวแทนขยายตลาดต่างจังหวัด วางเป้าใหญ่ ปี’64 เบี้ยรวม 1,000 ล้านบาท

นายธนพล บุญวรุตม์
นายธนพล บุญวรุตม์

นายธนพล บุญวรุตม์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TSI เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทมีแผนสร้างการเติบโตหลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมานับแต่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น ได้เร่งขับเคลื่อนจากภายในองค์กรสู่ภายนอก ทั้งเรื่องการปรับโครงสร้างการบริหารงาน การจัดทัพบุคลากร การสร้างความแข็งแกร่งและมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะการรักษาอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR Ratio) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายงาน ทั้งงานประเภทรถยนต์และประกันภัยทั่วไป โดยสิ้นปี 2563 บริษัทมีระดับค่า CAR อยู่ที่ประมาณ 500% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้ที่ 140%

ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทฯ กำหนดเป้าหมายสร้างเบี้ยประกันภัยรับไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตกว่า 30% ด้วยการวางกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่การแข่งขันทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ พร้อมดันพอร์ตงานด้าน ประกันที่ไม่ใช่รถ(Non-Motor) มากขึ้น ขณะเดียวกันยังเน้นขยายธุรกิจการรับประกันวินาศภัยทุกรูปแบบด้วยการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพในการเข้าถึงลูกค้าองค์กรและลูกค้ารายย่อย  เพื่อความร่วมมือในการพัฒนาและขยายโอกาสในการดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัย

โดยล่าสุดได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจ (MOU) กับ Haier ผู้ผลิตเครื่องไฟฟ้าชั้นนำจากประเทศจีน ในการเป็นพันธมิตรด้านบริหารความเสี่ยงการประกันวินาศภัยให้กับลูกค้า Haier ในโครงการ Smart Sharing ด้วยการรับประกันการสูญหายของเครื่องปรับอากาศ

นางสาวอรลดา เผ่าวิบูล
นางสาวอรลดา เผ่าวิบูล

นางสาวอรลดา เผ่าวิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TSI กล่าวเสริมว่า แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทายและอุปสรรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่อุตสาหกรรมประกันวินาศภัยยังสามารถเติบโตได้ดี มีเบี้ยประกันภัยรวม 254,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของบริษัทมีพัฒนาการไปในเชิงบวก จากการเปลี่ยนแปลงองค์กรและปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ทั้งหมด ทำให้เกิดความยืดหยุ่นเข้ากับสถานการณ์ สามารถตอบโจทย์ตัวแทนและลูกค้าได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ในปี 63 บริษัทเติบโตได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ มีเบี้ยประกันภัยรับ 665 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.1%

มีกำไรจากการรับประกันภัยรวม 54 ล้านบาท บริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีสัดส่วนของรายได้ที่ทยอยรับรู้เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้บริษัทมีผลขาดทุนก่อนภาษีลดลงจาก 175.7 ล้านบาท เป็น  74.6 ล้านบาท หรือลดลง 101.0 ล้านบาท คิดเป็นการลดลง 57.5%

“การตั้งเป้า 1,000 ล้านบาท ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะตลาดแข่งขันกันสูง และผลกระทบโควิด-19 ยังคงอยู่ แต่ในอีกมิติหนึ่งจะเป็นแรงส่งผลักดันไปสู่การเติบโตของบริษัทให้มั่นคง แข็งแกร่ง เพราะการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยอย่างต่อเนื่องจะทำให้สัดส่วนเบี้ยประกันภัยที่รับรู้เป็นรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอถึงจุดที่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ (Economy of Scale)

ขณะเดียวกัน เรายังเน้นกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงและการคัดสรรคุณภาพของงาน ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้เราเทิร์นอะราวด์กลับมาเร็วกว่าที่คาด ดังนั้นในปีนี้เราต้องวางการเติบโตอย่างมีจังหวะและต้องระมัดระวังกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” นางสาวอรลดากล่าว


โดยปี 64 จะเร่งเดินหน้าเพิ่มพอร์ตงานด้าน Non-Motor มาอยู่ที่ 30% โดยจะเน้นรับงานผ่านโบรกเกอร์และตัวแทนประกันภัยในสัดส่วนกรุงเทพและต่างจังหวัด  60:40% เนื่องจากปีที่ผ่านมาการขยายตลาดในต่างจังหวัดมีผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะภาคใต้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนเพิ่มพื้นที่การตลาดครอบคลุมยังภาคเหนือและภาคตะวันออก นอกจากนี้บริษัทฯ มีการปรับปรุงพัฒนางานฝ่ายรับประกันให้ไปในทิศทางเดียวกันกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย และงานด้านการตลาด รวมทั้งการบริการสินไหมทดแทน ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งระบบงานและบุคลากรให้ มีประสิทธิภาพ คล่องตัว รวดเร็ว พร้อมทั้งยกเครื่องเทคโนโลยีให้เชื่อมโยงสนับสนุนฝ่ายต่างๆ  และเพิ่มบทบาทการทำงานของ Call Center ให้งานสินไหมดำเนินไปอย่างรวดเร็ว