ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนร้อนแรง 7 เดือนติดต่อกัน ชง “ช้อปดีมีคืน” กระตุ้นกำลังซื้อ

“สภาธุรกิจตลาดทุนไทย” เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า (ส.ค. 64) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” 7 เดือนต่อเนื่องติดต่อกัน “นักลงทุน” ทุกกลุ่มยกเว้นสถาบันในประเทศเชื่อมั่นสูง คาดหวังแผนฉีดวัคซีนของรัฐบาลไทย ด้าน “ไพบูลย์” ชี้เงินทุนต่างชาติทะลักเข้าไทยช่วงครึ่งปีหลัง ชงรัฐออกมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม ประเมินเป้าดัชนีสิ้นปี 1,650 จุด

วันที่ 7 มิถุนายน 2564 นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ส.ค. 2564) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 126.40 ซึ่งยังคงอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง 7 เดือนต่อเนื่องติดต่อกัน ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมียอดผู้ติดเชื้อโควิดระลอก 3 เพิ่มขึ้น แต่ความมั่นใจของตลาดทุนยังสูงอยู่

โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยสูงถึง 10% จัดอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยของโลก โดยนักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 ระลอก 3 ซึ่งนักลงทุนเกือบทุกกลุ่มมีความเชื่อมั่นยกเว้นนักลงทุนสถาบันในประเทศ

อย่างไรก็ตามจากนี้ไปต้องติดตามการจัดหาวัคซีน ซึ่งตามแผนของรัฐบาลไทยถือว่าท้าทายพอสมควร เพราะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ถึง 70% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศภายในปลายปีนี้ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 50 ล้านคน ซึ่งมองว่าไม่ง่าย ทั้งนี้ถ้าทำได้ตามแผนในแต่ละเดือนเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) จะเริ่มค่อย ๆ ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยและภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่นักลงทุนได้กำไรจากตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market:DM) ไปเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา

ประกอบกับเห็นสัญญาณค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และหลาย ๆ ประเทศในเอเชียเริ่มมีการควบคุมสถานการณ์โควิดได้ดีขึ้น โดยต้องจับตาตั้งแต่เดือน ก.ค. 64 ที่แอสตร้าเซนเนก้าจะส่งวัคซีนให้ไทยจำนวน 10 ล้านโดส

ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศผ่านนโยบายภาครัฐ ช่วงที่ผ่านมาถือว่าทำได้รวดเร็วดี โดยรอบล่าสุดอาจจะมุ่งเน้นการเยียวยามากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นอยากเสนอภาครัฐผ่าน พ.ร.ก.เงินกู้ใหม่วงเงิน 5 แสนล้านบาท ต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะการดึงดูดให้คนควักเงินเก็บในธนาคารออกมาใช้จ่ายเพิ่มเติมจากโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ที่แจกเป็น E-Voucher

ซึ่งโครงการนี้ก็ถือเป็นแนวทางนโยบายที่ดี เพราะรัฐไม่ต้องใช้เงินมากแต่ได้ประโยชน์สูง โดยคาดว่าจะใช้เงินของรัฐแค่ 2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของมูลค่าใช้จ่ายของประชาชนรวม 2 แสนล้านบาท เบื้องต้นมองว่าถ้ามีโครงการ “ช้อปดีมีคืน” เหมือนปีที่แล้วก็จะได้ผลแรงกว่า เพราะคนระดับบนที่มีกำลังซื้อคงนำเงินออกมาใช้จ่ายกันมากขึ้น เพราะสามารถนำค่าใช้จ่ายไปหักเครดิตภาษีคืนได้ ซึ่งทำสไตล์ในรูปแบบ E-Voucher เป็นรายเดือนก็ได้

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ครึ่งปีแรกดัชนีหลักทรัพย์ไทย (SET) คงยืนอยู่แถว ๆ บริเวณกว่า 1,600 จุดได้ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เข้ามาเร็วกว่าคาดจากการระดมทุนฉีดวัคซีนทั่วโลกทำได้ดีกว่าคาด ส่วนทิศทางครึ่งปีหลังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นช่วงขาขึ้นเพียงแต่อัพไซด์ไม่เท่ากับครึ่งปีแรก เพราะความคาดหวังความสามารถจัดหาวัคซีนของรัฐบาลและการควบคุมโควิดถูกสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นไปแล้ว ทั้งนี้ประเมินเป้าดัชนีสิ้นปีไว้ที่ 1,650 จุด อย่างไรก็ตามต้องจับตาการเปิดประเทศนำร่องภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เพราะมีความสำคัญกับทิศทางของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา